ชีวิตที่โรยด้วย “ขวากหนาม” ของ “แอน ทองประสม” วัยเด็กแสนลำบากถึงกับต้องเก็บผักขายประทังชีวิต!!! น้อยคนที่จะรู้
กว่า “แอน ทองประสม” จะก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกชื่อดังของประเทศไทย หลายคนไม่ทราบว่า แอนในวัยเด็กนั้นแสนลำบาก โดยเธอเล่าว่า
“ตอนเด็กแอนอยู่กับคุณยายแถวหนองแขมยายแอนมีอาชีพเก็บผักขาย แอนก็จะไปช่วยคุณยายเก็บผักหลังจากเลิกเรียน ไปช่วยยายเพื่อที่จะให้คุณยายได้กลับบ้านเร็ว เป็นชีวิตวัยเด็กที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเราคือลำบาก แต่เรารู้สึกว่าคือวิถีชีวิตมนุษย์ปกติ จนเราเติบโตมาเราถึงรู้ว่าแบบนั้นถึงเรียกว่าลำบาก”
บ้านจนเงินทองแต่รวย “ความสุข”
“วัยเด็กที่เราก็มีความสุขของเราดี แอนก็อยู่อย่างเป็นเด็กที่มีความสุขดี บางทีอาหารกลางวันของโรงเรียนเขาก็มี ซึ่งเราเงินที่เราได้ไปมันก็ไม่เยอะก็จะไปขออาจารย์ว่าเราของล้างถ้วยล้างชามที่เพื่อนๆ ทานแล้วเขาก็จะให้ก๋วยเตี๋ยวเรามาหนึ่งชามคือค่าตอบแทน ถ้าอยากได้มากกว่านั้นหลังจากเลิกเรียนแล้วก็ไปตามร้านก๋วยเตี๋ยวไปรับจ้างทำงานเราอยากได้อะไรนอกเหนือจากที่ยายเราจะให้ได้เราก็หาเอง”
เมื่อเล่าถึงช่วงชีวิตวัยเด็กของ “แอน ทองประสม” บอกว่า “คุณยาย” คือคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก และถึงแม้วันนี้คุณยายจะจากไปแล้วแต่ทุกครั้งที่นึกถึงชีวิตวัยเด็กก็มักจะแอบ “อมยิ้ม” กับเหตุการณ์นั้นเสมอ
“ตอนเด็กๆ ยายแอนเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าชีวิตมันต้องมีหลายฟังก์ชั่น เมื่อมีรองเท้านักเรียนแล้วมันก็ต้องมีรองเท้าไปเที่ยวบ้าง แต่ยายแอนก็จะคิดว่ามันไม่จำเป็นและเราก็ไม่ได้มีตังค์อะไรที่จะมาซื้ออะไรที่เป็นแฟชั่นให้แอนใส่ บางทียายแอนก็เหมือนให้ใส่ชุดไปเที่ยวแต่ก็ให้ใส่รองเท้านักเรียนไปเดินตลาดหรือเกินเมอร์รี่คิงส์สมัยก่อนไปเที่ยวห้าง
เราก็จะรู้สึกว่าเราอายคนแล้วเราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่รองเท้านักเรียน แล้วเราก็จะเขิน ยายก็ให้รองเท้าตัวเองให้แอนใส่ แล้วแอนก็ใส่รองเท้าใหญ่ๆ และก็จะเป็นคู่ที่แบบไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน ไม่ได้ไปงานวัดไม่ได้ไปตลาดไม่ได้ไปทำอะไรที่พิเศษรองเท้าคู่นี้จะถูกเก็บอย่างดี และยายแอนจะเดินเท้าเปล่า มองกลับไปเราก็ยังรู้สึกอมยิ้มกับเหตุการณ์ที่ยายเราทำกับเราค่ะ”
“แอนไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนั้น แอนเติบโตมาจากตรงนั้นแต่แอนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ๆ แอนจะอยู่ตรงนั้น เราควรจะได้รับโอกาสหรือได้ทำอะไรที่มันหลากหลายกว่านี้ เช่นถ้าครูบอกให้เรียนหนังสือก็ต้องเรียน เราจะได้ไปเรียนต่อในที่ดีๆ เราจะได้ทำงานดีๆ เราจะไปเจอคนดีๆ แอนก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หลุดพ้นวังวนแบบนี้ แอนมองว่ามันเป็นความทะเยอทะยานในด้านดี
แต่ท้ายสุดเราก็ได้โอกาสนั้นจริงๆ เราอยากได้แค่โอกาสในการที่เราจะหาเงินหรือได้ปัจจัย 4 ปัจจัย 5 เช่นชุดนักเรียนมีแค่ 3 ชุด ไปเที่ยวมีแค่ 3 ชุด ทั้งปีใส่วนจนขาดแล้วขาดอีก หรือบางทีเราป่วยเราไม่เงินสำหรับรักษาตัวเลยมีแต่เงินกินข้าวไปวันๆ แอนก็รู้สึกว่าชีวิตมันไม่พออันนี้คือแรงงถีบของแอนที่ทำให้แอนอยากก้าวกระโดดออกมา”
จากเด็กบ้านจนก้าวสู่วงการบันเทิง
“แอนเป็นคนชอบดูละครตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว มันไม่อะไรจะเสพนอกจากฟังเพลงดูละครและก็อ่านนิยาย เราก็เป็นคนมีฝันและด้วยความชีวิตรอบตัวเรามันไม่ได้ชวนฝันมันเรียลลิสติกมาก มีความลำบากอะไรมากมาย แล้วเราก็ช่างจินตนาการและก็ชอบสร้างโลกว่าเป็นนางเอกในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก่อนนอนหลับซักชั่วโมงแอนจะต้องแต่งเรื่องอะไรของแอนในหัว เป็นเด็กที่หาความสุขกับความฝันตรงนั้น
เราก็เอ๊ะ ถ้าเราอยากจะไปทำไปมีชีวิตแบบนั้นเราจะต้องทำยังไง ก็เลยไปสมัครวัยน่ารักก่อนยังเป็นเด็กน้อยอายุ และก็โชคดีที่ว่าโชคเข้าข้างให้เราได้ก็เลยเริ่มต้นจากการถ่ายแบบวัยน่ารักรายได้ก้อนแรกพันบาทเป็นรายได้ที่ถ่ายแบบของวัยน่ารัก ดีใจมากพร้อมกับชุดที่เขาให้ถ่ายและให้ฟรีมาหนึ่งชุด”
หลังจากเริ่มต้นด้วยการการถ่ายแบบแฟชั่นจากนั้นใช้เวลาไม่นานเธอก็เริ่มมีผลงานจากได้เป็นนางเอกเอ็มวีก็ขยับไปแสดงภาพยนตร์จนกลายเป็นนางเอกแถวหน้าขอวงการ
“ตอนอายุประมาณ 14 ทุกอย่างมันอยู่ในช่วงเวลาไม่เกินปีตรงนั้นเหมือนโชคเส้นทางชะตาชีวิตแอนมันต้องมาทางนี้พอเปิดปุ๊บมันเปิดๆ ให้เราเข้าๆ ไป ก็ได้ไปเล่นหนังไฟว์สตาร์ก็ไปเล่นเป็นตัวประกอบก็ไม่ได้เป็นตัวเด่น และก็หลังจากนั้นก็เล่นเป็นหนัง วัยรุ่นอนึ่งคิดถึงพอสังเขป โก๊ะจ๋าป่านะโก๊ะ ที่นี้ไปยาวละครช่อง3 ก็ติดต่อมาเล่นเวลาในขวดแก้วก่อนเรื่องนึงแล้วก็ย้ายไปอยู่ช่อง 7 อยู่ยาวเลยอยู่กับช่อง 7 ประมาณ 4 – 5 เรื่อง ซักพักก็ย้ายกลับมาอยู่ช่อง 3 และก็ยาวจนมาถึงทุกวันนี้ค่ะ”
เมื่อต้องเป็น “นางเอก”
“มันอยู่ที่ช่วงวัยด้วยพอเรายังเด็กมากเราก็ยังติดกับคำว่านางเอก เราก็พยายามรักษาสถานภาพเราตรงนั้นให้เป็นนางเอกให้ได้ และพอเป็นนางเอกได้เราก็จะได้รับแต่บทดีๆ ที่เรามีความสุขจะรับแล้วเราก็พยายามรักษาสิ่งนั้น อันนั้นคือยุคเริ่มต้น พอยุคแข่งขันแอนก็ยังต้องพยายามพิสูจน์ฝีมือว่าแอนมีความพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไง ใครจะเรียกใช้งานอะไรแอนต้องได้งานอะไรจากแอน
เราก็เลยพยายามจะสร้างคุณค่าตรงนี้ให้ตัวเองให้คนรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง แอนก็ขวนขวายทางการแสดงหรืออะไรก็ตามที่แอนคิดว่ามีความสามารถทำออกมาได้ก็พยายามไปขยี้ตรงนั้นให้คนจดจำสิ่งตรงนั้นให้มากที่สุดให้เขาเลือกเราไปทำงานให้เขา เพราะไอ้คำว่านางเอกก็เลยทำให้เรายึดมั่นถือมั่นกับมันไว้”
แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงและวัยที่โตขึ้น “แอน ทองประสม” เล่าว่าคำว่า “นางเอก” ในความรู้สึกของเธอนั้นก็เปลี่ยนไปหากตนยังยึดติดเอาไว้จะทำให้เธอก้าวต่อไปไม่ได้
“ในช่วงวัยที่เราสามสิบกว่าๆ จะก้าวเข้าสี่สิบธรรมชาติมันจะสอนให้เราทลายน้ำแข็งตรงนี้ไปเองจะนางเอกไม่นางเอกไม่ใช่แล้ว ชีวิตมันมีอะไรที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่านั้น เพราะฉะนั้นความภาคภูมิใจของแอนมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่นางเอกอย่างเดียวแล้ว แต่ว่าเลือกที่จะภูมิใจกับมันอย่างเดียวในเวลานี้ไม่พอแล้วไม่งั้นแอนไปต่อไม่ได้แอนก็ต้องหาคุณค่าอย่างอื่นของตัวเองที่ทำให้คนรู้จักแอนในมุมอื่นๆ แล้วมันก็หนีไม่พ้นเรื่องการแสดงแอนก็เลยถึงหันไปจับงานผู้จัด แต่ทั้งนี้จุดยืนเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นนางเอกแล้วแต่เราอยากได้บทดี ๆ ที่คงยังทำให้เราสนุกกับการออกจากบ้านและไปรับผิดชอบมันอะไรแบบนี้”
“แอนว่าแอนเป็นคนสมวัยของแอนมากกว่า จริงๆ แอนจะทรุดก่อนวัยด้วยซ้ำด้วยการทำงานหรือความเครียด หน้าที่ที่แอนต้องรับผิดชอบเยอะ แต่ตอนนี้ด้วยนวัตกรรมหรือด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไปแล้วคนเราก็ทำให้ตัวเองสวยกว่าวัยได้ ซึ่งแอนก็พยายามเติมเต็มตลอดเวลา และแอนก็ไม่อยากแก่ แอนยังอยากสวย แอนยังอยากให้คนรอบข้างชมแอนมองแอนอยากถ่ายรูปกับแอน แฟนแอนชมแอน อะไรแบบนี้ คือเราต้องรักและเคารพในตัวเราเองไม่ใช่แค่ในเรื่องของอาชีพการงานหรือความสามารถ ความสวยงามมันเป็นหีบห่อที่เราหนีมันไม่พ้น เพราะฉะนั้นแอนก็ยังหาวิธีที่ทำให้ตัวเองยังแข็งแรง เช่น การออกกำลัง หรือดูแลผิวพรรณ พยายามคิดทำมันให้ต่อเนื่องไม่ยอมอยู่แล้วตรงนี้แอนไม่ยอมแน่ๆ”
เมื่อเลือกเดินไปต่อบนเส้นทางของผู้จัดละครแล้วนั้นเธอเล่าความรู้สึกที่หลงใหลและติดใจในงานสายนี้ความท้าทายที่จะชนะใจคนดูคือความภาคภูมิใจ
“แอนรู้สึกว่าแอนเกลียดตอนทำงานมากเลย แอนเกลียดที่แอนต้องไปเจอทีมงานประสบอุบัติเหตุเลือดตกยางออกเพราะงานแอน เขากำลังทำงานเราและเขาเดือดร้อนเพราะเราแอนไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลย แต่มันจะมีความต้องมนต์อะไรบางอย่างของอาชีพนี้เมื่อมันถูกเข้าไปอยู่ในห้องตัด มันเหมือนสารอะไรก็ไม่รู้ถ้ามันได้ดั่งใจนะ มันทำให้แอนล้างสิ่งที่แอนไม่ชอบไปทั้งหมด
ต่อมาเมื่อละครถูกโยนสู่ประชาชนแล้วเรามานั่งลุ้นเหมือนเล่นหุ้น วันนี้เรตติ้งจะขึ้นจะลงคนดูจะชอบ จะเกลียด จะด่า หรือจะชม ทุกวันมันท้าทายการที่เราจะเอาชนะใจคนให้ได้ และมันยิ่งฟินกว่านั้นเมื่อนักแสดงของเราได้รับความสำเร็จแล้วเขาไปทำอย่างอื่นได้ต่อ งานผู้จัดมันเป็นงานที่ภาคภูมิใจแบบนี้”
ไม่แต่งงานใช่ว่าไม่ให้สำคัญ
“สำคัญมันก็สำคัญนะคะ แต่แอนอยู่ในจุดที่แบบแอนไม่ใช่เด็กมีความฝันอยากใส่ชุดเจ้าสาว อยากเดินเข้าไปรอดซุ้มกระบี่ อยากเข้าโบสถ์แล้วมีหางปลายาว แอนอยู่ในโลกความฝันมาเยอะมาก ฉะนั้นภาพแบบนี้เราไม่ได้ต้องการ แต่เราต้องการผู้ชายซักคนที่อยู่กับเราแล้วก็เป็นเพื่อนเราและปกป้องเราได้และก็อยู่กันไปจนแก่เฒ่า ซึ่งตอนนี้เราก็เจอแต่ว่าปัญหาคือว่ามันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่คนสองคนจะมาอยู่ด้วยกันมันต้องเสียสละก้อนบางก้อนที่มันติดหลังตัวเองมา แอนยังเขี่ยมันออกมาไม่หมดเราก็เลยยังตกลงกันไม่ได้มันก็เลยไปต่อในขั้นที่ทุกคนคาดหวังว่าจะแต่งงานยังไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ”
สุดท้ายเธอได้ฝากข้อคิดการใช้ชีวิตไว้อย่างน่าสนใจว่า
“คนจะเห็นแต่ด้านที่แอนประสบความสำเร็จแต่ด้านที่แอนล้มเหลวมีเยอะมาก เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ถูกเอามันออกมาพูดถึง ทำให้คนคิดว่าแอนทำอะไรก็ดีงามไปหมด แต่จริงๆ ไม่ใช่แอนสูญเสียมิตรภาพระหว่างทางความสำเร็จที่แอนได้มา แอนสูญเสียอะไรก็ไม่รู้ที่มันแลกกันแล้วแอนรู้สึกว่าไม่คุ้มเลย แต่แอนก็ค่อยๆ จดจำมันไว้ และก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก แอนว่าถ้าเราอยู่อย่างประสบความสำเร็จแต่เราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยแอนก็ไม่เอา แอนเลือกอยู่กับคนที่เรารักแล้วขณะเดียวกันงานเราก็ถูกตอบรับในทางที่ดีแค่นี้แอนพอใจแล้วค่ะ”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก sanook ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก news-lifestyle
Leave a Reply