เผยเคล็ดลับ!!! เทคนิคชาร์จแบตฯ บนสมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ให้ “เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!!!”

เผยเคล็ดลับ!!! เทคนิคชาร์จแบตฯ บนสมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ให้ “เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!!!

1

อีกหนึ่งปัญหากวนใจ สำหรับผู้ใช้ทั้ง แท็บเล็ต และ สมาร์ทโฟน คือ แบตเตอรี่ไม่เพียงพอที่จะใช้ในแต่ละวัน ต้องใช้วิธีพก Power Bank ที่แสนหนัก! วันนี้จึงมีเคล็ด (ไม่) ลับ สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่มาฝากกันว่า

2

ข้อ 1 เปิด Airplane Mode หรือปิดเครื่องขณะชาร์จแบตเตอรี่

เมื่อเราเปิดเป็น Airplane Mode จะทำให้มือถือ หรือแท็บเล็ตของคุณใช้พลังงานน้อยลง และจะทำให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นครับ แต่ถ้าอยากจะทำให้ชาร์จเร็วขึ้นกว่าเดิม ให้ปิดเครื่องขณะชาร์จ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ข้อ 2 ควรชาร์จแบบเสียบปลั๊ก แทนการชาร์จกับคอมพิวเตอร์

แม้ว่าการใช้ที่ชาร์จแบบเสียบปลั๊ก และการเสียบสาย USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ จะสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เหมือนกัน แต่ที่ชาร์จแบบเสียบปลั๊ก จะสามารถชาร์จไฟเข้าได้เร็วกว่า ซึ่งปกติ การชาร์จกับคอมพิวเตอร์ จะให้กำลังไฟแค่ 0.5 แอมป์ แต่ถ้าหากชาร์จกับไฟบ้าน สำหรับสมาร์ทโฟน จะให้กำลังไฟแรงกว่าที่ 1 แอมป์ ส่วนแท็บเล็ต จะอยู่ที่ 2 แอมป์

3

ข้อ 3 ชาร์จผ่านพอร์ต USB บนอุปกรณ์(คอม) Mac (เฉพาะ iPhone และ iPad)

สำหรับท่านที่ไม่ได้นำที่ชาร์จแบบ Wall Charger ติดตัวมา ให้ชาร์จผ่านพอร์ต USB บนอุปกรณ์ Mac (เฉพาะ iPhone และ iPad) โดยเฉพาะคอม Mac รุ่นใหม่ๆ จะให้กำลังไฟแรงกว่า ที่ 1.1 แอมป์

ข้อ 4 ใช้โปรแกรมช่วย

ในเครื่อง ASUS จะมีโปรแกรม ที่มีชื่อว่า Ai Charger ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จแบบธรรมดาถึง 50% เนื่องจากโปรแกรมตัวนี้ ถูกออกแบบให้ทำงานร่วมกับ motherboards นั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ควรจะใช้โปรแกรมของแท้ หรือแบบ Official เท่านั้น ห้ามใช้ของเถื่อนโดยเด็ดขาด

5

ข้อ 5 ใช้ ChargeDr ช่วย

ChargeDr คือ ตัวเร่งการชาร์จแบบ USB ที่ช่วยเพิ่มกระแสไฟสำหรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB บนคอมพิวเตอร์ ให้มากขึ้นนั่นเอง โดยราคาของ ChargeDr อยู่ที่ $20 หรือราวๆ 640 บาท หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์มือถือใหญ่ๆ

6

ข้อ 6 ใช้หัวชาร์จ USB แบบ 2 หัว

เมื่อใช้สาย microUSB ที่สามารถเชื่อมต่อพอร์ต USB ได้ 2 หัว จะช่วยเพิ่มปริมาณแอมป์ได้ 2 เท่า ถ้าหากใครมีเวลาน้อยที่จะชาร์จแบต แถมลืมเอาที่ชาร์จแบบ Wall Charger ติดมา ลองใช้สาย USB แบบนี้กันดูได้เลย เร็วกว่าจนน่าตกใจ!

ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก techmoblog