10 อันดับ “เด็กโหด… นรกส่งมาเกิด”!!!

ภายนอก พวกเขาอาจดูเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป แต่จิตใจ และสิ่งที่เขากระทำไปนั่นช่างแตกต่างกับหน้าตาเหลือเกิน 10 อันดับนี้เป็นใคร เรื่องราวเป็นอย่างไร ติดตามได้เลย

1

อันดับ 10 ไบรอัน และเดวิด ฟรีแมน( Brian and David Freeman)

ไบรอันอายุ 17 ปี และเดวิด อายุ 16 ปีสองพี่น้องยักษ์ปักหลักสูงกว่า 6 ฟุต หนักกว่า 200 ปอนด์ เขามีรอยสักเป็นรอยสักแก๊งนีโอนาซี สองพี่น้องถูกตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันทีหลังมีการพบศพแม่ของสองพี่น้องและน้อง ชายคนรอง ถูกไม้กระบองทุบจนตายในเขตเมืองซอลส์บรี มลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1995 คืนก่อนหน้าที่เกิดเหตุมีเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างผู้ ปกครองและสองพี่น้องดังกล่าว สุดท้ายสองพี่น้องก็ถูกจับคุกตลอดชีวิต

2

อันดับ 9 เอ็ดมุนด์  เคมเปอร์ ( Edmund Kemper) 1948-??

27 สิงหาคม ปี 1964 ที่เบอร์แบงค์ แคลิฟอร์เนีย เอ็ดมุนด์  เคมเปอร์ ในขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ได้ยิงตากับยายด้วยปืนล่าสัตว์(ยิงยายแล้วก็เอามีดหั่นเนื้อแทงยายซ้ำๆ จนปลายบิดงอ) หลังถูกตำรวจจับกุมเขาอ้างเหตุผลในเวลาต่อมาว่า “แค่อยากรู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับการฆ่ายาย”

เด็กชายเคมเปอร์ถูกวินัจฉัยว่าเป็นโรคจิต (แต่ไอคิวถึง 140 ) เขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล และถูกปล่อยตัวเมื่อปี 1969 เคมเปอร์อายุ 21 ปี แสร้งแกล้งทำเป็นว่าหายขาด และถูกปล่อยสู่สังคม เมื่อออกสู่ภายนอกเคมเปอร์ก็ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ซื้อรถคันหนึ่งรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงนักโบกรถและใช้ปืนยิงแล้วแทงให้ตาย ตัดศีรษะ หั่นศพ ใช้กล้องบันทึกภาพ บางรายนำเนื้อไปกินที่บ้าน มีเหยื่อที่โดนวิธีนี้กว่า 6 ราย

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 1973 เคมเปอร์ก็ฆ่าแม่ของตัวเองโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอหลับอยู่ ตัดหัวเธอออกแล้วข่มขืนศพที่ไร้หัวนั้น จากนั้นเขาก็เอาหัวแม่มาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งขยะ เท่านี้ยังไม่พอเขายังฆ่าเพื่อนแม่อีกคน ก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจมาจับตนเอง (ตอนแรกตำรวจนึกว่าเรื่องตลก เคมเปอร์ต้องชี้แจ้งหลายนาทีกว่าตำรวจจะเชื่อ) เคมเปอร์สารภาพต่อตำรวจว่า “แม่เป็นหญิงสารเลว สมควรตาย” สุดท้ายเคมเปอร์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรม 8 คดี และถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขายังสุขสบายดีอยู่ในคุก

3

อันดับ 8 วิลลี่ บอสเก็ต(Willie Bosket) 1962- ??

วิลลี่ บอสเก็ต เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1962 เขาถูกตัดสินในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่นิวยอร์ค เขาฆ่าเหยื่อเพียงเพราะชิงทรัพย์เท่านั้น แต่การตัดสินของเขาใช้กฎหมายผู้เยาว์ มันไม่สาสมต่อการกระทำอันอุกอาจของเขาได้ ทำให้สภาได้ร่างกฎหมายเพื่อให้เยาวชนต้องรับโทษแบบผู้ใหญ่ในคดีอุกฉกรรจ์

ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 19 มีนาคม 1978 วิลลี่ บอสเก็ต ใช้ปืนยิงนายโนเอล เปเรส(Noel Perez) บนรถไฟใต้ดินนิวยอร์คเพียงเพื่อขโมยเงินจำนวนหนึ่งและนาฬิกาข้อมือ แปดวันต่อมาวันเขายิงนายโมเลส เปเลส (Moises Perez) และขโมยเงินของเหยื่อ ไป  เขาถูกตัดสินโดยกฎหมายเยาวชนก่อนที่ร่างกฎหมายใหม่นี้จะเสร็จ เขาถูกจำคุกแต่ออกมาอีก 4 ปีให้หลัง(ปล่อยในปี 1983) แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกจับในคดีลอบวางเพลิงและคดีร้ายแรงอีกมากมาย และถูกตัดสินโดยกฎหมายใหม่ในที่สุด เขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกขังเดี่ยวในเรือนจำนิวยอร์คตราบจนทุกวันนี้

4

อันดับ 7 โจชัวร์ ฟิลิปส์(Joshua Phillips) 1984-??

3 พฤศจิกายน ปี 1998 ในฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เมื่อเด็กน้อยเพื่อนบ้านของโจชัวร์ ฟิลิปส์ชื่อเด็กหญิง Maddie Clifton อายุ 8 ขวบ หายตัวไปจากบ้านของเขาเอง ตำรวจและอาสาสมัครกว่า 400 คนทำการค้นหาและเสนอรางวัลเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเดิมแต่สุดท้ายก็ไร้ผล(คดีนี้ ถึงมือ FBI) หารู้ไม่ว่าเด็กน้อยอยู่เพื่อนบ้านนี้แหละ แต่เป็นศพแล้ว

7 วันต่อมาหลังการหายตัวไปของเด็ก แม่ของโจชัวร์ ฟิลิปส์ทำความสะอาดห้องของเจา เขาพบว่ามีกลิ่นประหลาดและเธอตามหาที่มาของกลิ่นนั้นจนกระทั้งพบร่างของ Maddie ซ่อนอยู่ เธอตกใจและหนีออกนอกบ้านแจ้งตำรวจ  โจชัวร์ ฟิลิปส์ซึ่งตอนนั้นอายุ 15 ปี สารภาพว่าเขาทุบตีเพื่อนบ้าน 8 ขวบด้วยไม้เบสบอลจนเสียชีวิตและเขาหอบศพเธอซ่อนในห้องเขาและใช้มีดแทงเธออีก 11 ครั้ง คณะลูกขุนได้ตัดสินให้เขาจำคุกโดยปราศจากทัณฑ์บน และตอนนี้เขายังอยู่ในคุกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

5

อันดับ 6 ลอรี่ แทคเก็ต(Laurie Tackett) 1974-??

11 มกราคม ปี 1992 พี่น้องคู่หนึ่งได้ออกไปล่านกกระทาในเขตป่า Jefferson และแล้วเขาก็พบร่างหนึ่งที่ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นตุ๊กตาแต่ปรากฏว่ามันเป็น ศพของซานต้า ซาลีเออร์ (Shanda Sharerwho) สภาพศพของเธอบ่บอกถึงการกระทำอันโหดร้าย มีรอยไหม้อย่างรุนแรงและรอยแผลที่ถูกฟันและแทงด้วยอาวุธมีคม จากการสอบสวนพบว่าฆาตกรคือนางสาวลอรี่ แทคเกอร์ อายุ 18 ปี ซึ่งเธอฆ่าซานต้าเพราะเป็นรักสามเศร้า(แบบเลสเบียน)

ลอรี่ แทคเกอร์เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1974 ในMadison อินเดียน่า แม่ของเธอเคร่งศาสนาเป็นชาวคริสเตียน ส่วนพ่อเป็นคนงานโรงงานต้องโทษคดีอาญาร้ายแรงและเธออ้างว่า เขาเคยทำร้ายเธอตอน อายุ 5 และ 12 (คดีนี้ดังมาก ปรากฎในวีพีมีเดียก็มี โดยคดีนี้มีชื่อ The murder of Shanda Renee Sharer)

6

อันดับ 5 เบรนด้า แอน สเปนเซอร์ ( Brenda Anne Spencer) 1962-??

26 มกราคม ปี 1979 เบรด้าอายุ 16 ปี ใช้อาวุธปืนไรเฟิล automatic.22 ที่ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อในวันคริสต์มาส เธอกราดยิงเด็ก 8 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงเรียนคลีฟแลนด์ อีลิเมนท์ทาลี่ สคูล ในซานดิเอโก้ และพยายามฆ่าครูใหญ่เบอตัน แวคก์ และผู้ปกครอง

เธอถูกตำรวจจับกุมหลังจากนั้น 5 ชั่วโมงและถูกตั้งคำถามถึงเหตุผลต่อการกระทำการฆาตกรรมหมู่ในโรงเรียนครั้ง นี้ เธอยักไหล่และตอบกลับว่า “ฉันเกลียดวันจันทร์ มันไม่มีเหตุผล และฉันก็ทำไปเพราะมันสนุกมากๆ เหมือนกับได้ยิงเป็ดในบ่อน้ำ อีกอย่างเด็กๆ พวกนั้นเหมือนฝูงวัวเมียยืนอยู่รอบๆ ซะด้วยสิ

ผลสุดท้ายเบรนด้าถูกตั้งข้อหาฆ่าคน และบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย ส่วนประโยค “ฉันไม่ชอบวันจันทร์นั้น” ได้ถูกนำไปใส่ในหนังเรื่อง The Breakfast Club (1985) และยังเป็นแรงดลใจในเพลง “ฉันไม่ชอบวันจันทร์ (I don’t like Mondays) โดยศิลปิน Boomtown Rats

7

อันดับ 4 จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน( Jon Venables and Robert Thompson)

ปี 1993 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอน เวนาเบิล และโรเบิร์ต ทอมป์สัน 2 เด็กจากครอบครัวมีปัญหา(ทั้งคู่ตอนนั้นอายุ 10 ขวบ) วันนั้นเป็นวันเปิดเรียน แต่เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปเรียน เขาไปห้างสรรพสินค้า ขโมยลูกกวาด, ตุ๊กตาคอหมุนๆ, แบตเตอรี่จำนวนหนึ่ง, กระป๋องสเปย์สีน้ำเงิน 1 กระป๋อง และบังเอิญพวกเขาเห็นสิ่งหนึ่งน่าขโมยเป็นบ้าเลย มันคือเด็กน้อยนามเจมส์ บัลเกอร์ (James Bulger) อายุเพียง 2 ปีกับ 11 เดือนเท่านั้น

เด็กสองคนเลยลักพาตัวเด็กออกจากห้างเสียเลย ไม่รู้ว่าเมื่อออกจากห้างทั้งสองทำอะไรกับเด็กบ้าง รู้แน่ๆ พวกเขาพาเด็กเดินจนขาลากไปกว่าหลายไมล์เรื่อยเปื่อยเป็นเวลานานจนกระทั้ง มาถึงรางรถไฟจากนั้นก็ไม่รู้เพราะอะไรอีกทั้งสองตัดสินใจฆ่าเด็ก โดยฉีดสีสเปย์ใส่ตาเจมส์ จากนั้นก็รุมทุบตีด้วยมือและเท้า ท่อนเหล็กและก้อนหินกระหน่ำไปใส่ที่หัวของเด็กน้อยกว่า 42 แผลด้วยความเมามัน จนกะโหลกแตกจากนั้นก็เปลือยท่องร่างเอาแบตเตอรี่ยัดที่รูทวาร จากนั้นก็ลากศพเด็กไปวางบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับเพื่ออำพรางคดี

ศพเจมส์ในเวลาต่อมาเด็กทั้งสองก็ถูกจับเกือบทันที เพราะหลักฐานจากกล้องวีดีโอวงจรปิด หลังจากถูกจับกุมทั้งสองเอาแต่ร้องโวยวาย ใช้ความเป็นเด็กไร้เดียงสา บอกว่าไม่รู้เรื่อง โยนความผิดไปอีกฝ่ายไปๆ มา จนคดีนี้ไม่แน่ชัดว่าใครต้นคิดใครฆ่าเจมส์กันแน่ ท้ายสุดศาลอังกฤษตัดสินจำคุกเด็กสองคนแบบกฎหมายผู้ใหญ่ และทั้งสองถูกปล่อยตัวออกไปในปี 2001

8

อันดับ 3 เจสซี่ โพเมอร์รอย(Jesse Pomeroy) 1859-1932

เจสซี่ โพเมอร์รอยถูกตำรวจจำกุมได้ในขณะที่เขาอายุ 14 ในปี 1874 ในข้อหาสังหารเด็ก 2 คนอย่างน่ากลัว เขาถูกตั้งฉายาว่า “เด็กมารร้ายแห่งเมืองบอสตัน(อเมริกา)”

ในปี 1871-1872) เขาออกอาละวาดทำร้ายและทรมานเด็กชาย 7 คน และถูกจับส่งตัวไปโรงเรียนดัดสันดานที่บอสตัน (มีรายงานว่าเขามีอาการทางจิต) และถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อปี 1875 โดยมีทัณฑ์บนไว้ เขาเฉลิมฉลองการออกจากที่คุมขังด้วยการฆ่าเด็กสาววัย 10 ขวบชื่อ Katie Curran ด้วยการตัดแขนขาเหมือนตุ๊กตาของเล่นไม่มีผิด แต่เขาไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้เขาลักพาตัวเด็กชาย Horace Mullen วัย 10 ขวบ ไปที่บึงและสังหารเขาด้วยการใช้มีดแทงอย่างโหดร้ายและเกือบตัดหัวของเด็กชาย จนหลุดจากบ่า

เจสซี่ให้เหตุผลว่าเขาฆ่าเด็กชายคนนั้นเพราะมีดวงตาที่แปลก(เด็กชายมีตาสีขาว) เขายอมรับผิด  และถูกจับคุก 40 ปีอย่างโดดเดี่ยว (เจสซี่รับได้บันทึกสถิตว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องอายุน้อยที่สุดที่ตัดสินในอเมริกา) สุดท้ายเจสซี่ตายเพราะสิ้นอายุไขเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1932  ด้วยอายุ 72 ปี

9

อันดับ 2 แมรี่ เบล( Mary Bell) 1957-??    

25 พฤษภาคม ปี 1968 ที่ย่านนิวคาสเซิล ทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นวันคล้ายวันเกิดครบ 11 ปี ของแมรี่ เบล เด็กจากครอบครัวมีปัญหา เธอเลยฉลองวันเกิดนี้โดยการบีบคอเด็ก มาร์ติน บราวน์ เด็กชายอายุ 3-4 ขวบ จนถึงแก่ความตายแล้วยังไปยั่วแม่ของเด็กทำนองว่า ”กคุณตายแล้วเหงาหรือ ลูกตายแล้วร้องไห้หรือเปล่า” แต่นี้ยังไม่พอสำหรับเธอ

10 กรกฎาคมเธอกับเพื่อนของเธอชื่อ นอม่า เบล ได้ฆ่าเด็กชายไบรอัน โฮล วัย 4 ขวบ และสลักที่ท้องของเด็กชายด้วยอักษรย่อ M และ N ด้วยใบมีดโกน พวกเธอทั้งสองถูกศาลพิจารณาคดีในข้อหาสังหารโหดมนุษย์ 2 ศพ ผลคือคือแมรี่ เบลถูกจำคุกและไปบำบัดจิต ส่วนเพื่อนอีกคนพ้นข้อกล่าวหา(ได้ไง??)

ปี 1980 เธอถูกปล่อยตัวจากคุกเมื่ออายุได้ 22 ปีทั้งๆ ที่รักษาโรคจิตไม่หาย เธอมีลูกและหายสาปสูญไปจากสังคม และวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2003 ทางการก็ประกาศว่าเธอเป็นบุคคลนิรนาม

10

อันดับ 1 รวมมิตรสังหารหมู่ในโรงเรียน (School Shootings)         

15พฤศจิกายน 1995 เจมี่ เราซ์ (Jamie Rouse) วัย 17 ปี แต่งชุดดำไปโรงเรียริชแลนด์ ที่ไจลส์ เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี่ พร้อมปืนเรมิงตันขนาด.22 เขายิงครูไป 2 คนและหันปืนเล็งยิงโค้ชทีมฟุตบอลพร้อม ยิ้มระบายบนใบหน้าแต่พอดีเด็กคนหนึ่งเดินสวนพอดีจึงโดนแทน

20 เมษายน 1998 ที่โรงเรียนคอลัมบายน์ไฮสคูล(โคลัมไบน์) อเมริกา อีริค แฮริส อายุ 18 ปี และ ไดเลน เคล็บโบลด์ อายุ 17 ปี (Eric Harris & Dylan Klebold) ได้เดินทางเข้าไปโรงเรียนด้วยท๊อปบู๊ตแบบทหาร เสื้อคลุมสีดำแบบในหนังแอ็คขั่น สะพายเป๋กระเป๋า ที่มีอาวุธร้ายแรง เช่น ปืนลูกซอง เบอร์ 12 แบบบรรจุ 8 นัด ลูกซองสั้นลำกล้องคู่ ปืนกลมือขนาดเบาTEC-DC9 ระเบิดที่ทำขึ้นเอง เมื่อมาถึงห้องเรียน นักเรียนทั่วไปไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติที่จะเกิดขึ้น อาจจะเพราะทั้งสองดูเพี้ยนๆอยู่แล้วจึงไม่มีใครสนใจ จนกระทั่ง พวกเขาสาดกระสุนใส่เพื่อนนักเรียนอย่างเมามันและไม่เลือกหน้า ก่อนที่เรื่องนี้จบลงด้วยการฆ่าตัวตายทั้งคู่

21 พฤษภาคม 1998  คิปแลนด์ คิงเคล(Kipland Kinkel) อายุ 15 ปี ที่เพิ่งถูกไล่ออกจากโรงเรียนสปริงฟิลด์ รัฐโอเรกอน ข้อหาพกอาวุธปืนเข้าห้องเรียน เขาเข้ามาโรงเรียนนี้อีกครั้งพร้อมปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ตรงเข้าห้องอาหารและกราดยิงฝูงชนอย่างไม่รีรอ เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน

24 มีนาคม ปี 1999 แอนดรูว์ โกลเด้น(Andrew Golden)  อายุ 11 ปีพร้อมสหายมิทเชล จอห์นสัน(Mitchell Johnson) อายุ 13 ปี ในชุดพราง พร้อมปืน โกลเด้นเดินเข้าไปโรงเรียนเวสต์ไซด์ มิดเดิ้ล เมืองโจนส์ เบอโร่ รัฐอาร์คันซอ แล้วแอบกดสัญญาเตือนภัยเพื่อให้ผู้คนแตกตื่น จากนั้นเขาก็วิ่งกลับหาจอห์นสันที่ทำท่านอนเตรียมยิง และขณะที่ผู้คนกำลังชุลมุน ทั้งสองก็กราดยิงกลุ่มนักเรียน 15 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไป 13 คน

1 ตุลาคม ปี 2007 ลุค วู้ดแฮม (Luke Woodham) วัย 16 ปี ถูกแฟนสาวมาบอกเลิก เขาโกรธมาก จนใช้มีดแทงแม่ตัวเองดับเช้าวันนั้น แล้วคว้าปืนเดินเข้าโรงเรียนเพิร์ล รัฐมิสซิปปี้ เขาตรงลิ่วไปคน ฆ่าผู้หญิงคนนั้น กับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จากนั้นก็ยิงเด็กนักเรียนอีก 7 คน คนสุดท้ายถูกยิงแต่รอดเพราะกระสุนหมดก่อน และในขณะที่ลุคเดินกับไปเอาปืนอีกกระบอกหนึ่งผู้ช่วยครูใหญ่ก็จับตัวเขาได้ ภายหลังลุคตัดพ้อว่าโลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เขาทนไม่ไหวแล้ว “คนอย่างผมมักถูกเหยียบย่ำบาทาทุกวันราวขยะ ผมอยากให้สังคมได้รู้ว่า ถ้าเขาทำกับเราอย่างนี้ ก็จะโดนอย่างนี้กลับไป”

“โลกใบนี้จะไม่ถูกทำลายโดยคนชั่ว แต่มันจะถูกทำลายโดยคนดี ที่ปล่อยให้ความชั่วลอยนวล…”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก avitrar