คิดถึง “ลาบานูน” มั้ย?? พวกเขากลับมาแล้ว พร้อมยอดวิวทะลุล้านในไม่กี่ชั่วโมง!!!

คิดถึง “ลาบานูน” มั้ย?? พวกเขากลับมาแล้ว พร้อมยอดวิวทะลุล้านในไม่กี่ชั่วโมง!!!

2

เรียกเสียงฮือฮากันมาตั้งแต่ปล่อยทีเซอร์ ทั้งแฟนเพลงและแฟนฟุตบอลที่รอคอยมิวสิควิดีโอเพลง “เชือกวิเศษ” ของวงลาบานูน ก็คงได้ชมกันจนเต็มอิ่มแล้ว กับเอ็มวีตัวเต็มที่ปล่อยออกมาเมื่อคืนวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ยอดวิวก็ทะลุ 1 ล้านวิวไปแล้วตั้งแต่ประมาณ 13 ชั่วโมงแรก

ปัจจัยที่สร้างความฮือฮามากที่สุดก็ต้องยกให้การได้ตัว “ตังค์-สารัช อยู่เย็น” นักฟุตบอลทีมชาติไทย จากสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด มาแสดงเป็นพระเอกเอ็มวี ในบทบาทนักฟุตบอลผู้มุ่งมั่นกับความฝันจนต้องยอมเสียคนรักไป ด้านเอ็มวีนั้นเป็นปรากฏการณ์เอ็มวีสุดฮือฮาแห่งปีไปแล้ว ในฝั่งตัวเพลงนั้นดูกระแสตอบรับแล้วก็คงฮิตถล่มถลายตามสไตล์เพลงอกหักแบบ “ลาบานูน” ได้ไม่ยาก

สามหนุ่ม เมธี, อนันต์ และ เมย์ เจ้าของบทเพลงมาคุยว่าเพลงนี้มีที่มาอย่างไร รวมทั้งพูดคุยเปิดใจเล่ารายละเอียดสนุก ๆ เกี่ยวกับเบื้องหลังการเดินเข้าตึกแกรมมี่เซ็นสัญญากับค่าย “จีนี่ เร็คคอร์ดส” ใครกันที่เกลี้ยกล่อมทำให้วงดนตรีเล็ก ๆ วงนี้ที่กลัวการทำงานกับค่ายใหญ่มาตลอด ยอมเปลี่ยนใจมาอยู่ในค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้ ซึ่งกว่าจะตัดสินใจได้พวกเขาบอกว่า “เครียดกันเป็นเดือน”

Q : ตอนที่พักไป พอกลับมารวมทีมกันครบแล้ว เริ่มต้นยังไง

A : เราก็ยังอยู่กับค่ายเก่า ทำแบบเดิม ทำเพลงเสร็จ ปล่อยเพลง แล้วทัวร์คอนเสิร์ต จากนั้นสักปีสองปี เราได้เจอพี่กบ (มือกลองวงบิ๊กแอส) แกบอกว่าอยากให้เรากลับมา แกบอกเมธีลองเขียนเพลง เราก็เริ่มเขียนเรื่องราวช่วงที่เราหายไปว่าชีวิตเราเจออะไร เราไปไหนมาบ้าง

พอช่วงงานศพพ่อพี่อ๊อฟ (บิ๊กแอส) ก็ได้เจอกับพี่ตูน (บอดี้สแลม) พี่ตูนบอกว่าได้เวลาที่เมธีต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง จะไปทางไหน พี่เขาชวนให้เรามาอยู่จีนี่ เร็คคอร์ดส แรก ๆ เราก็กลัว เพราะเราไม่เคยเจออะไรใหญ่ ๆ ขนาดนี้ เราอยู่แต่ที่เล็ก ๆ ดิ้นรนสู้ชีวิต เรากลัว มันใหญ่สำหรับเรา เครียดมากเลยครับ ช่วงที่ต้องตัดสินใจใช้เวลานานเป็นเดือน มีแบบวันนี้ตัดสินใจแบบนี้ พรุ่งนี้เปลี่ยนใจไปอีกแบบ

จนวันหนึ่งไปรวมตัวกันที่บ้านพี่กบ พี่ ๆ ก็ด้วยอยู่กันหลายคน พี่กบบอกว่า เมธี ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก มันไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก เนี่ย ก็อยู่แบบนี้ อยู่กันแบบพวกเราอย่างนี้แหละ (ทำมือวาดเป็นวง) พี่กบก็ให้เราตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ (โดยไม่ได้ถามพี่นิคว่าจะเอาพวกเราไหม-หัวเราะลั่นห้อง) แล้วพี่กบกางกระดาษเอสี่ แจกแจงวิเคราะห์ว่า ถ้าอยู่ จะเป็นอย่างนี้ ๆ แต่ถ้าไม่อยู่จะเป็นอย่างนี้ ๆ วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย จุดเด่นจุดด้อย แล้วให้เราตัดสินใจ

3

สรุปพวกเราก็เลยตอบว่า ผมอยู่กับพี่ ไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ไหน คือพี่อยู่ไหนก็อยู่ ก็จบ แล้วพี่กบก็โทรหาพี่นิค (ผู้บริหารค่ายจีนี่) จำได้ว่าที่คุยกันคืนวันอังคารจนถึงตีสาม แล้วก็ได้ไปเซ็นสัญญาวันพฤหัสนั้นเลย พี่กบบอกว่าไม่ต้องคิดอะไร ให้ทำเพลงแบบเดิม ให้มีความสุขกับการทำเพลง ที่เหลือเขาจะจัดการให้ นั่นคือที่มา วันที่มาเซ็นสัญญาเป็นภาพบรรยากาศที่น่ารักมาก พี่อ๊อฟ พี่กบ เป็นคนพามา เหมือนผู้ปกครองมาส่งเข้าโรงเรียนวันแรก เหมือนตื่นเต้นกกันว่านักเรียนคนนี้จะเข้าห้องเรียนถูกไหม เป็นเรื่องราวอันหนึ่งที่น่าจดจำในชีวิต

Q : ช่วงเวลาที่หยุดไป ความนิยมในแนวเพลงมันเปลี่ยนไปมาก ได้คิดไหมว่าจะปรับอะไรยังไง หรือมั่นใจว่าเอาแบบเดิมเลย

A :  ไม่ครับ ก็คิดว่าจะทำตามสูตรเดิมของเรานี่แหละ แล้วตอนทำเดโมเสร็จมานั่งคุยกับพี่ ๆ แมงโก้ทีม (ทีมทำเพลงที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อยู่ค่ายเดิม) ผมก็บอกว่า ผมไม่อยากให้ใครมาแตะเพลงผม นอกจากพี่อ๊อฟกับพี่กบ พอทำเพลงเสร็จ พี่อ๊อฟพี่กบบอกว่า เนี่ย ยุคนี้มันไม่มีเพลงแบบนี้ บวกกับที่ผมโพสต์ในไอจีว่า “เราไม่จำเป็นต้องบินให้เหมือนใคร เราบินท่าของเรา เท่าที่เราไหว” สรุปก็คือเพลงเราไม่ต้องไปปรับอะไร เอาแบบธรรมชาติที่เราเป็นดีที่สุดแล้ว ลองดูว่า เพลงแบบลาบานูน สไตล์แบบนี้ แนวคิดทัศนคติแบบนี้จะอยู่ได้ไหมในยุคนี้

Q : สูตรเพลงของลาบานูนเป็นยังไง

A : สูตรเพลงของพวกเราไม่ว่าจะเป็นลาบานูน บิ๊กแอส หรือ บอดี้สแลม เราจะมีอาจารย์คนหนึ่งนั่งดูพวกเราอยู่ ก็คือ พี่เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ วิธีคิดมุมมองการทำเพลงจะคล้ายกัน ท่อนฮุกต้องประมาณนี้ ท่อนเวิร์สต้องประมาณนี้ แม้แต่ชื่อเพลงก็จะมีสูตร ทุกคนที่ผ่านการอบรมมาจากพี่เอกก็จะเป็นประมาณนี้ แต่สไตล์เพลงไม่เหมือนกัน สไตล์ใครก็สไตล์มัน

ส่วนสายแมงโก้ทีมที่ผมอยู่ ก็จะมีการทำงานแบบไม่คิดเนื้อก่อน คือเราจะคิดเมโลดี้ก่อน แล้วค่อยมาคิดคอนเซ็ปต์เพลงว่าเมโลดี้แบบนี้ควรจะเล่าเรื่องอะไร แล้วเนื้อค่อยมาทีหลัง คือบางคนเขาจะมาพร้อมกันทั้งเนื้อเพลงทั้งเมโลดี้ แต่สายเราไปไม่เป็นเลยครับแบบนั้น

วิธีคิดคอนเซ็ปต์เพลง ผมจะไม่คิดคนเดียว ผมเชื่อมั่นในตัวทีม ถ้าคิดคนเดียวทั้ง 10 เพลงมันอาจจะไม่มีอะไรใหม่หรือแตกต่าง แต่ถ้าเกิดเรามีทีม เราจะมีมุมมองอะไรบางอย่างมาเสริม ผมค่อนข้างโชคดีที่มีแมงโก้ทีมมาดูแลเนื้อเพลง ส่วนจะเป็นคอนเซ็ปต์แบบไหน เศร้า อกหัก คิดถึง ก็แล้วแต่ลักษณะวง และใครเป็นคนเขียนเนื้อเราก็ดูกันในทีมว่าเพลงมันเหมาะที่จะให้ใครเขียน

Q : ช่วยเล่าถึงเพลงในอัลบั้มใหม่ แต่ละซิงเกิลที่ปล่อยมา

A : เพลงในอัลบั้มใหม่นี้ ด้านเนื้อเพลง ด้านคอนเซ็ปต์ค่อนข้างจะแตกต่างจากอัลบั้มก่อน ๆ มาก เพราะมันจริงจังขึ้น พูดเรื่องหนักขึ้น ที่ผ่านมาเราจะพูดแต่เรื่องสนุก ๆ อัลบั้มนี้ก็เลยเครียด กังวลว่าคนฟังจะเข้าใจสิ่งที่เราจะนำเสนอไหม

เพลงศึกษานารี ซิงเกิลเปิดตัว เรากลัวมาก เพราะเพลงแรกมันสำคัญมาก ถ้าแป๊กนี่ไปเลย แต่ทุกคนก็ลงความเห็นกันว่าต้องเป็นศึกษานารีเพลงแรก ตามสูตรการปล่อยเพลงของเราที่เพลงเปิดตัวต้องเป็นเพลงกวน ๆ แต่ในอัลบั้มมันมีเพลงกวน ๆ อีกเพลงที่เป็นคู่แข่ง ซึ่งพอเปิดตัวก็ถือว่าโอเค เราพอใจกับการเปิดตัวครั้งแรก เวลาเราไปทัวร์คอนเสิร์ต คนร้องเพลงได้ ซึ่งเราให้ความสำคัญกับการแสดงสดมาก ถ้าคนเยอะ คนร้องเพลงได้ ผมคิดว่าสำเร็จแล้ว สุดยอดแล้ว

ซิงเกิลที่ 2 พลังงานจน เป็นการถกใหญ่มากในทีม ว่าจะเอาเพลงไหนปล่อย เครียด กว่าจะสรุป เพลงมันเกี่ยวกับการดิ้นรนสู้ชีวิต พอพูดถึงจนไม่มีใครอยากเก็ตกับมัน ไม่มีใครอยากจน เราก็ใม่รู้ว่าคนฟังจะอยากฟังไหม คนจะเข้าใจไหมสิ่งที่เรานำเสนอไหม

4

ที่มาของเพลงนี้ เราก็คิดกันว่าจะพูดเรื่องอะไร จะเอาเพลงเกี่ยวกับความฝันก็ไม่ได้ เพราะพี่ตูนเขาทำไปแล้ว เขาได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้ว เราจะฝันเหมือนเข้าไม่ได้ (หัวเราะดังลั่น) เราต้องพูดเรื่องของเรา ทีนี้ก็เลยถึงตอนที่ผมจะเข้ามาเซ็นสัญญาทำอัลบั้ม ผม (เมธี-นักร้องนำ) นั่งรถไฟชั้น 3 มาจากสุไหงโก-ลก ตั๋ว 215 บาท นั่งมา 20 ชม. พ่อแม่ทำสวนยาง กรีดยางได้วันละ 200 ก็คิดว่าเรามาถึงวันนี้เพราะเราดิ้นรนสู้ชีวิต นั่งอ่านเรื่องของซีอีโอหลายคนกว่าจะร่ำรวยก็ลำบากมาก่อน ก็เลยอยากมีเพลงแบบนี้ ที่บอกว่าบางครั้งคนเราต้องดิ้นรนสู้ชีวิต มีท่อนหนึ่งที่ผมแต่งเมโลดี้ ผมได้ยินเสียงหนึ่งเป็นเสียงที่เราได้ยินเวลาเราท้อ มันจะมีเสียงที่บอกเราว่า เอาน่า สู้น่า และผมจินตนาการว่ามันควรจะเป็นเสียงผู้หญิง ซึ่งก็ออกมาเป็นท่อนที่น้องเปาวลีมาร้อง เนื้อเพลงนี้ต้องขอบคุณพี่โป โปษยนุกูล ที่แต่งออกมาได้เหมือนบทกวี ผมเข้าห้องอัดร้องแล้วน้ำตาไหล

Q : แล้วเพลงล่าสุด เชือกวิเศษ มีที่มาและการทำงานอย่างไร

A :  เมธี-คือช่วงนี้ผมแต่งเพลงรักไม่ออก แต่พี่ ๆ เขาบอกว่าเพลงช้าแบบลาบานูนคือเพลงที่คนอยากฟังจากบานูน เพลงอกหัก ผิดหวัง เสียใจแบบซื่อ ๆ ซึ่งเมื่อก่อนเวลาแต่งคือเราอกหักจริง ๆ เศร้าจริง ๆ แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น และตอนนี้ไม่ชอบเพลงเก่าของตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็น แฟนเก่า บังอาจรักเธอ เท่าเดิม เพลงที่ทุกคนชอบแต่ผมกลับเบื่อ เพราะผมรู้สึกว่าผมเลยวัยนั้นมาแล้ว

แต่โชคดีที่ผมได้คุยกับพี่หมู บิ๊กแอส พี่หมูบอกว่า เพลงแบบนี้ไงที่คนเขาชอบ เขาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมึงนะ แล้วมึงจะทรยศเพลงที่เป็นความจริงทำไม ทำไมถึงต้องดูถูกเพลงรักอกหัก จริง ๆ แล้วความรักมันมีในทุกช่วงวัย อายุ 30 40 ก็อกหักได้ คนบางคนอายุ 50 มีลูกสามคนแล้วเพิ่งหย่ากันก็มี ไม่ใช่ว่าอายุมากแล้วชีวิตมึงจะไม่ผิดหวัง ผมก็เริ่มกลับไปแต่งเมโลดี้เพลงนี้ จากที่คิดว่าเพลงอกหักมันน้ำเน่า เจอพี่หมูซัดหนัก ๆ ก็ตาสว่างเหมือนกัน ต้องขอบคุณพี่หมู มานั่งคิดแล้วมันก็จริง คนที่อยู่รอบตัวเราก็ผิดหวังกัน ไม่ใช่แค่วัยรุ่น

พอแต่งเมโลดี้เสร็จ เรียบเรียงดนตรีเสร็จแล้ว ผมให้ทีมแมงโก้ฟัง พี่กบฟังแล้วพี่กบตั้งชื่อเพลงนี้ว่าเชือกวิเศษ ต้องไปถามพี่กบว่าคิดอะไรอยู่ ตอนนั้นแกบอกว่า เล่าเรื่องง่าย ๆ ในเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันจนถึงที่สุดแล้วก็ต้องจากกัน เทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ ต่อให้เรามีเชือกวิเศษก็ผูกไม่อยู่แล้ว แกเอาเนื้อไปเขียน พี่กบบอกว่าพี่มั่นใจว่าเมธีจะร้องเพลงนี้ให้คนคนหนึ่งฟัง ก็ไม่รู้แกหมายถึงใคร

เป็นสิบกว่าปีแล้วมั้งครับที่ไม่ได้ร่วมงานกับพี่กบ เพลงล่าสุดที่แกเขียนคือเพลงแฟนเก่า ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าผมแต่งเมโลดี้ พี่กบเขียนเนื้อ มันน่าจะเป็นอะไรที่ลงตัว ถ้าใครคิดถึงเพลงแฟนเก่า ปฏิทิน หนักใจ ก็คงจะชอบเพลงนี้ ต้องขอบคุณค่ายจีนี่ที่เอาน้องสารัชมาแสดงเอ็มวี ทำให้ทุกคนอยากดูเอ็มวีเพลงนี้ แต่เราก็กลัวเหมือนกันนะว่าถ้าเขาดูแล้วบอกว่าเพลงไม่เพราะเลย จะทำยังไงต่อ

คงได้หายคิดถึงกันเป็นที่แน่นอนแล้ว สำหรับวงลาบานูน ใครที่ยังไม่เคยฟังเพลงใหม่ของเขา ในเพลง “เชือกวิเศษ” ของวงลาบานูน วงน่ารักเสียงเป็นเอกลักษณ์ตลอดกาลได้ที่นี่

1

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติ   และขอขอบคุณคลิปวิดีโอจาก Genierock