ย้อนรอยคดี…หมอเสริม สาครราษฎร์ รักต้องฆ่า!!!
มีคนกล่าวไว้ว่า “ความรัก เป็นสิ่งสวยงามเสมอ” แต่คนนั้น ๆ ต้องไม่ใช่เหยื่อของการฆาตกรรมสุดหฤโหด อย่างนางสาวเจนจิรา ที่ถูกอดีตหมอเสริม สาครราษฎร์ เป็นผู้ฆ่าหั่นศพเป็นแน่ ถ้าเธอพูดได้ เธอคงกล่าวว่า “ความรัก และความตาย อาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน!!!”
เมื่อ พ.ศ.2536 มีข่าวหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ในหนังสือพิมพ์ของประเทศไทย เป็นข่าวเด็กชายอายุ 15 ปี คนหนึ่งจากจังหวัดชลบุรี สามารถสอบเอ็นทรานซ์ เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ เขาสร้างความแปลกใหม่ให้แก่วงการศึกษา ในความเป็นเด็กยอดอัจฉริยะข่าวนี้ทำให้ประชาชนสนใจ และกล่าวถึงความเก่งกาจ ความฉลาดของเขา 5 ปีต่อมา เขาสำเร็จการศึกษาได้เป็นวิศวกรรมบัณฑิตสมความตั้งใจ
แต่แค่นี้ยังไม่พอ เขาตัดสินใจสอบเอ็นฯอีกครั้ง ด้วยความเป็นเลิศทางมันสมอง คราวนี้เขาสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์สมความตั้งใจ ซึ่งไม่บ่อยครั้งที่เด็กไทยจะสามารถเรียนจบ ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้เป็นทั้งวิศวกร นายแพทย์ สองอาชีพที่สุดยอดของประเทศไทย แต่เด็กคนนี้ทำได้ เขาอาจเป็นหนึ่งในล้าน!!
ต่อมาไม่นาน ข่าวของเขาดังคับประเทศอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช้ข่าวการสำเร็จการศึกษา แต่เขาขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับ สื่อโทรทัศน์ออกข่าวแทบทุกช่องไม่เว้นแต่ละวัน ข่าวหนังสือพิมพ์จั่วหัวว่า “จับฆาตกรโหดหั่นศพอดีตแฟนสาว……………..!!! เสริม สาครราษฎร์ ฆาตกรอัจฉริยะ เด็กฉลาดคนนั้น!
ชาติกำเนิดของเสริม สาครราษฎร์
ครอบครัวของเสริม สาครราษฎร์เป็นครอบครัวที่ถือว่ามีฐานะดีพอสมควร แม้มีเงินแต่ไม่มากมายอะไร
ชีวิตของนายเสริมค่อนข้างน่าสงสาร ค่อนข้างกดดันตั้งแต่เด็ก เขาเป็นเด็กที่เก็บกดมาก ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา และบางครั้งเขาเงียบจนดูน่ากลัว ดูท่าทางคิดอะไรอยู่ตลอด
สาเหตุก็เนื่องมาจาก… พ่อของเขาเป็นคนที่เข้มงวด และเผด็จการมาก บังคับลูกทุกอย่าง แม้แต่แม่ของเขาเองก็ไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ และแม่ของเขาก็โอ๋เขามากเช่นกัน เพราะสงสารลูกที่ถูกพ่อบังคับและตีมาตลอด
เสริมเป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเพราะพอเรียนจากโรงเรียนเสร็จมา ก็จะต้องไปเรียนกวดวิชาต่อจนค่ำมืดดึกดื่น ตั้งแต่เรียนหนังสือมา เขาเรียนได้ที่ 1 มาตลอด รางวัลเรียนดีอะไรต่ออะไรเต็มบ้านไปหมด แต่ดูเป็นคนไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน ครั้นพอเขาเรียนจบมัธยม (เขาเรียนจบเร็วมาก เพราะเขาสอบเทียบหลายปี)
ความจริงแล้วเสริมอยากเรียนวิศวะ แต่พ่อต้องการให้เรียนหมอเขาก็ไม่เคยเถียงหรือพูดอะไรแต่พอถึงตอนเอ็นท์ฯ เขาก็ “ขัดใจ” พ่อ โดยการใส่ชื่อคณะวิศวะ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง “อันดับเดียว” (ในสมัยนั้นเขาให้เลือกได้ 4 อันดับ) ผลออกมาก็คือ เขาติดคณะวิศวะสมใจเขา แต่พ่อเสริมโกธรเขามาก และก็ไม่ยอมให้ไปเรียน บอกว่าให้รอปีหน้าแล้วเอ็นท์ฯใหม่ ระหว่างนั้นก็ทั้งด่า ตี ต่าง ๆ นานา
พอแม่เข้ามาช่วย แม่ก็พลอยโดนลูกหลงเข้าไปด้วยเชื่อไหมว่า… พ่อของเขาทั้งด่า และตีเขา ทุกวัน…ทุกวัน สุดท้าย… แม่เขาสงสารลูก ทนไม่ไหวจึงแอบส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่สอบติด และแอบส่งเงินให้ทุกเดือน ส่วนพอเข้าใจว่า ลูกหนีออกจากบ้าน ทำให้พ่อประกาศลั่นตัดพ่อตัดลูก
เสริมเรียนเก่งมาก เพราะเขาสามารถจบวิศวะโดยใช้เวลาแค่ 2 ปีครึ่งเท่านั้น!! เขามักส่งข่าวถึงแม่ว่า “พ่อใกล้ตายหรือยัง เพราะระหว่างที่เรียนอยู่แม่เขาจะส่งข่าวมาตลอดว่าพ่อป่วยหนักเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย แม่ของเสริมเล่าให้เขาฟังว่า… พ่อบ่นและเพ้อออกมาตอนป่วยว่า “อยากให้เขาเรียนหมอ อยากให้เขาเป็นหมอ” แม่เสริมจึง “ขอร้อง” ให้เขาเรียนหมอ โดยให้ถือซะว่าทำเพื่อแม่
แม่ของเสริมถึงขนาด ร้องไม่ร้องไห้ทุกวัน ไม่กินข้าวกินปลา จนเขาทนไม่ไหว ด้วยความที่รักแม่ จึงรับปากว่า เขาจะเอ็นท์ฯ และเรียนหมออีกครั้ง “เพื่อแม่”…
ผลออกมาก็คือเอ็นท์ฯติดตามระเบียบ แต่พ่อของเขาไม่สามารถที่จะอยู่เพื่อเห็น “ความสำเร็จ และสิ่งที่บังคับ”อยากให้ลูกเป็นมาตลอดชีวิตได้ เพราะหลังจากที่เสริมเข้าเรียนได้ไม่กี่เดือน “พ่อเขาก็เสียชีวิต” และที่นั้นเอง เขาก็ได้พบเจนจิรา ผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดกาล…
ความรักครั้งแรก
30 มกราคม พ.ศ.2541 นายสมคิดและนางสุดา พลอยองุ่นศรี พ่อแม่ของเจนจิรา ทั้งคู่มีบ้านและกิจการค้าอยู่ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม รู้สึกถึงความผิดปกติของเจนจิรา เมื่อรับโทรศัพท์จากยายของเจนจิราที่กรุงเทพฯ แจ้งมาว่า เจนจิราไม่กลับบ้าน แม้จะเรียกเพจเจอร์หลายครั้งแล้ว(ช่วงนั้นเพจเจอร์กำลังฮิต)แต่เธอก็ไม่ติดต่อกลับมา
หัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ ย่อมหวาดวิตก และเป็นห่วงลูกสาวตามสัญชาติญาณ เพราะเจนจิรา เป็นเด็กสาวน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี มีความประพฤติเรียบร้อย เป็นเด็กหัวดีเรียนเก่ง ไม่เคยทำตัวเหลวไหลตอนกลางคืน จากการสอบถามไปถึงเพื่อนสนิทของเธอทุกคนแล้ว ก็ไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าของลูกสาวแต่อย่างไร
เวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 ทั้งคู่จึงเดินทางมาแจ้งความที่ สน.พญาไท ว่าลูกสาวตัวเองหายไป พร้อมกับรถโตโยต้าคันหนึ่งและทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง
จากการสืบสวนของทีมตำรวจ สน.พญาไท ในสืบสวนขั้นแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า เจนจิรา นัดพบกับเสริม เป็นคนสุดท้ายที่ห้างเวิลด์เทรดฯ ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับ
เสริมถูกเรียกมาสอบปากคำทันที่ทันใด เขาให้การว่านัดพบเจนจิราจริง แต่หลังจากทะเลาะกัน เขาน้อยใจและขอตัวกลับหอพักก่อน จากนั้นก็ไม่พบเธออีกเลย ตำรวจตรวจตามร่างกาย และรถของเขา แต่ก็ไม่พบหลักฐาน พิรุธ หรือร่องรอยอะไรเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาไป ในที่สุดเมื่อไม่มีวี่แวว ร่องรอยอะไรเพิ่มเติม จึงจำเป็นต้องระดมกำลังค้นหา และการสืบสวนจึงเริ่มต้นอย่างจริงจังอย่างใกล้ชิด เพราะสื่อมวลชน เริ่มทำข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง
ประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา….ทีมสืบสวนปักใจเชื่อว่า บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดในคดีนี้คือ นายเสริม สาครราษฏร์ แฟนสาวของเจนจิรามากกว่าใคร ต่อมาเขาถูกสอบสวนผ่านเครื่องจับเท็จ ผลที่ออกมาพบว่ามีหลายคำตอบ เขาตั้งใจโกหก และบ่งบอกพิรุธหลายอย่าง ให้การวกวนไปมา รวมทั้งก่อนหน้านี้เสริมพยายามเดินทางไปที่สามพราน บ้านของเจนจิราหลายครั้ง แสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างผิดสังเกต
พร้อมกันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจรถของเขาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง …คราวนี้พบคราบเลือดที่กระโปรงท้ายรถ พบกระดุมเม็ดตกอยู่ รวมทั้งเส้นผมที่ไม่ใช้ของเสริม ไม่นานนักคำรับสารภาพทั้งหมดก็พรั่งพรูออกจากปากนายเสริม สาครราษฏร์แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังตกตะลึง
เสริม สาครราษฎร์สารภาพว่า เขาได้ลงมือฆ่าและหั่นศพแฟนสาวเรียบร้อยแล้ว แผนการหฤโหดเริ่มต้นและดำเนินจากการวางแผนของเขาคนเดียว
คำสารภาพ หรือ เรื่องโกหก?
แม้จะยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นฆาตกรที่ฆ่าหั่นศพแฟนสาวของตัวเองไปแล้วจริงๆ การทำแผนประกอบคำรับสารภาพในชั้นแรกของเขา ยังเป็นที่คลางแคลงใจหลายฝ่าย เขาเล่าเป็นฉากเป็นตอนราวกับนิทานว่า
เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2541 ห้างเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ราชประสงค์ เสริม สาครราษฏร์ ชื่อเล่นว่า เอ นักศึกษาแพทย์ ปี 2 ของวชิระพยาบาลนัดพบ นางสาว เจนจินา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ สถาบันเดียวกัน เพื่อปรับความเข้าใจเรื่องความรักที่ระหองระแหง…ก่อนหน้านี้ ทั้งคู่มีปากเสียงกันมาหลายครั้งหลายครา และยังตกลงเรื่องราวของความสัมพันธ์ในหัวใจที่ค้างคากันมานาน 2 ปีไม่สำเร็จ
เจนจิรา เธอยังยืนยันขอแยกทางกับเสริม เพราะรู้สึกว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสัยของฝ่ายชายเป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าเข้ากันไม่ได้กับเธอ เสริมตกใจกับคำปฏิเสธของหญิงสาว เขาตามง้อ วินวอน เพราะเจนจิราเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารักจนหมดหัวใจ เขาเดินตามสาวคนรักมาที่ลานจอดรถที่ค่อนข้างเงียบสงัดและลับตาคน และตามไปนั่งคุยต่อในรถของฝ่ายหญิง
เขาเกิดอารมณ์โกรธสุดขีด มันทำให้เขาขาดสติจนยั้งใจไม่อยู่ เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาลืมตัวบีบคอแฟนสาวจนตายคามือของเขา แต่เมื่อสติหวนคืนกลับ เสริมตกใจกลัวสุดขีด ข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาน่ะมันรุนแรงแค่นั้นเขารู้ดี ชีวิตของเขา หน้าที่ การงานของเขา จะถูกทำลายเพราะถูกจับฐานฆ่าคนไม่ได้
เขานั่งรถข้างศพเจนจิรานาน 2 ชั่วโมงแล้วแผนการต่าง ๆ ถูกร่างขึ้นในสมอง เขากำลังหาวิธีทำลายศพแฟนสาว จะทำอย่างไรล่ะ เผา ทิ้งแม่น้ำ ฝังศพไว้ในป่าลึก เพราะถ้าไม่มีศพ ก็ไม่มีพยานหลักฐานที่เอาผิดได้
ทันใดนั้นเอง….เขาก็คิดได้…แต่กรรมวิธีนั้นมันสยดสยอง และหฤโหดสุดคณา
เขาขับรถเก๋งโตโยต้า โคโรน่า สีเขียว หมายเลขทะเบียน 8ษ-8580 กรุงเทพฯ ของเจนจิรา ออกลานจอดรถห้างเวิลด์เทรดในเวลาพลบค่ำ พาร่างที่ไร้วิญญาณของเจนจิราอยู่ในกระโปรงรถหลัง เขาตรงไปที่ประตูน้ำ และปลายทางลิ้นสุดลงที่ห้อง 156 ของโรงแรม 99 ในซอยรางน้ำ
หลังจากจ่ายค่าห้องแบบค้างคืนแล้ว เสริม สาครราษฏร์ ค่อย ๆ อุ้มศพของเจนจิรา เข้าไปในห้องน้ำ วางศพเธอที่แข็งตัวแล้วไว้ที่อ่างน้ำ ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออก ตามปกติเสริมเป็นชอบพกมืด ขนาดยาวประมาณ 5 นิ้ว ไว้ในกระเป๋าสะพายติดตัวอยู่บ่อย ๆ มีดเล่มที่ลมกริบเล่มนั้น มันคือเครื่องมือสำคัญในการกำจัดศพของเธอ
เขาค่อย ๆ เฉือนอณูเนื้อของแฟนสาวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามที่ร่ำเรียนมาจากคณะแพทย์ เขาเฉือนเสร็จ ก็ทิ้งลงในชักโคลก แล้วกดน้ำทิ้ง เขาทำเช่นนี้อยู่นาน 2 ชั่วโมง จนชักโคลกและท่อระบายน้ำเกรอะเริ่มอุดตันจากเศษเนื้อมนุษย์…จนเขาเริ่มวิตก
ต่อมาเขาขับรถกลับโรงแรมอีกครั้ง เขาซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาดับกลิ่น น้ำยาขจัดสิ่งอุดตัน ถุงดำใส่ขยะ ที่ปั๊มลมสำหรับโถส้วม ที่ร้านเซเว่นฯในละแวกนั้น ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาชำแหละศพของแฟนสาวแบบนอกตำราต่อจน…ไม่มีอะไรเหลือ หัวกะโหลก และโครงกระดูกทุกชิ้นของเจนจิราถูกใส่ถุงดำถึง 3 ถุงใหญ่
สริมตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่โรงแรม 99 แล้วเรียกแท็กซี่ กลับห้างเวิลด์เทรดฯ อีกครั้งเพื่อกลับไปเอารถของเขา แล้วไปจอดที่โรงแรมเฟิร์สต์ สี่แยกราชเทวี เพื่อไม่ให้มีพิรุธ และเป็นที่น่าสงสัยของห้าง
เขานั่งแท็กซี่ กลับไปที่โรงแรม 99 อีกเที่ยว แล้วนำถุงกระดูกของเจนจิราทั้ง 3 ถุง ใส่รถของเธอ ขับขึ้นทางด่วน ไปลงถนนบางนา- ตราด มุ่งหน้าต่อไปยังสะพานปะกง จอดรถที่กลางสะพาน ดูจนแน่ใจว่าไม่มีคนเห็น จากนั้นก็โยนถุงทั้งหมดทิ้งลงแม่น้ำปางปะกง เพื่อทำลายหลักฐาน
จากนั้นเสริมขับรถของเจนจิรา กลับมาโรงแรมเฟิร์สต์ อีกครั้งขนถ่ายเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของเธอ มาใส่รถของตัวเอง แล้วขับรถแฟนสาวไปทิ้งหน้าบริษัท ทีแอนด์ที โอเพ่นนิ่ง จำกัด ในหมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ
จากนั้นก็ต่อรถแท็กซี่ กลับเอารถของตัวเอง กลับไปหอพักเก็บของเสร็จสรรพแล้ว เขาไม่ยอมนอน เขาขับรถต่อไปยังบ้านเพื่อนสนิทคนหนึ่งในย่านบางพลัด ถนนจริญสนิทวงศ์ เมื่อเวลาสว่างพอดี เขาขอให้เพื่อนล้างรถ เสร็จแล้ว เดินทางไปหอพัก เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และขับรถไปบ้านเกิดที่จังหวัดชลบุรี เพื่อเผาทำลายเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของเจนจิราจนหมดสิ้น
สิ้นควันไฟ เขาถอนหายใจ ทุกอย่าง ถูกทำลายย่อยยับจนหมดสิ้น ไม่ให้ตำรวจสาวตัวมาถึงเขาได้ แน่นอนถ้าไม่มีหลักฐาน ไม่มีศพ ก็ไม่มีใครเอาผิดเขาได้
ความจริงแห่งความตาย
…ตำรวจเงียบไปพักใหญ่เมื่อฟังคำรับสารภาพของนายเสริม ทำไมกัน ทำไมเขาต้องวางแผนยุ่งยากแบบนี้ด้วย เดียวไปโน้น เดียวไปนี้ สลับซับซ้อนเหลือเกิน หรือว่าเขาโกหก! มีทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้ความจริงคือ การเข้าเครื่องจับเท็จ
ผลออกมาปรากฏว่าเขาโกหก แต่กฎหมายไทยผลจากเครื่องจับเท็จนั้นไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ตำรวจจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาอีกครั้ง แต่ได้สั่งคนตามไปประกบจับตาดู ผ่านไป 10 วัน มีรายงานเข้ามาว่า เสริมเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อเขาเลิกเรียนแล้วก็กลับมาหมกตัวอยู่ในห้อง ไม่สุงสิงกับใคร กินข้าวก็กินในห้อง แทบไม่ออกไปไหนเลย
วันที่ 27 มกราคม มีรายงานมาว่าเขากำลังเผาอะไรบางอย่างอยู่หลังบ้าน
หลังรับสารภาพ
แม้เสริมจะรับสารภาพ แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายมีลูกเล่นให้ตำรวจต้องปวดหัวเป็นระยะๆ ทั้งการให้การเท็จให้การปฏิเสธในชั้นศาล ทั้งๆที่ในชั้นสอบสวนและทำแผนรับสารภาพทุกขั้นตอนแล้ว
เสริมตั้งทีมทนายสู้คดีกับฝ่ายอัยการ โดยระหว่างนั้นก็ถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เพราะเป็นคดีที่สยดสยองและอยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วประเทศ
ระหว่างที่เสริมสู้คดีหั่นศพในศาล 1 ปีเศษ อยู่ในช่วงสืบพยานโจกท์ ระหว่างนั้นเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้น เมื่อตำรวจพบหลักฐานเพิ่มเติมอีกจำนวนมากในบ้านพักเพื่อนนายเสริมคนหนึ่งที่ ถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นการพบหลักฐานสำคัญที่ประหลาดและพิสดารมาก เพราะมันเริ่มมาจากการที่ตำรวจได้แจ้งเหตุว่ามีงูเหลือมเข้าบ้าน
งูเหลือมจำนวน 2 ตัวเลื้อยหลบหลีบและขึ้นไปซ่อนบนฝ้าเพดานใต้หลังคา ตำรวจสามารถจับงูได้ที่นั้น และสายตาก็เหลือบไปเห็น “ถุงดำ”
สิ่งที่พบในถุงตำรวจต้องตกตะลึงเพราะมันเป็นข้าวของเครื่องใช้ของ นางสาวเจนจิราเหยื่อหั่นศพซึ่งก่อนหน้านั้น นายเสริมอ้างว่าเผาทำลายทิ้งหมดแล้ว หลักฐานเพิ่มเติมนี้เป็นหลักฐานมัดตัวเสริม สาครราษฎร์ ให้หนักแน่นขึ้น
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายหลังสามารถสรุปสำนวน และความเป็นจริง ของคดีสยดสยองนี้ ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
จากห้างเวิลด์เทรดฯ เสริมใช้วาจาล่อหลอกให้เจนจิรา ตามเขาไปที่คอนโด ซึ่งเป็นหอพักของเขาย่านฝั่นธนฯได้สำเร็จ ทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ในขณะที่เธอเข้าห้องน้ำนั้น ด้วยโทสะสุดขีดเขาใช้อาวุธปืนจ่อยิงศีรษะของเธออย่างโหดเหี้ยม ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องน้ำออกมา
การชำแหละศพเจนจิรา เกิดขึ้นที่ห้องน้ำที่พักของเขาเอง หลักฐานก็คือที่ห้องพักโรงแรม 99 ตำรวจไม่พบคราบเลือด เส้นผม และชิ้นเนื้อใด ๆ ในบ่อเกรอะของโรงแรมแม้แต่น้อย แต่ในห้องน้ำของเขา และบ่อเกรอะ ตำรวจพบทั้งคราบเลือด และเศษมนุษย์ จำนวนมาก เมื่อผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอ ยืนยันแล้วว่าเป็นของเจนจิราจริง
จากนั้นก็มีการพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์โดยชาวบ้านในแม่น้ำบางปะกง ทอดแหไปเจอเข้า เมื่อทางนิติเวชนำมาตรวจพิสูจน์ภาพเชิงซ้อน ลักษณะของฟัน และดีเอ็นเอ แล้วพบว่าเป็นของเจนจิรา ทั้งสองหลักฐานที่ได้มานี้ เป็นหลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ ที่มัดนายเสริม สาคาราษฏร์ ชนิดดิ้นไม่หลุด
ศาลฎีกาพิพากษาว่า
บางตอน “การที่จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้)
อดีตหมอเสริม สาครราษฎร์ ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต แต่เนื่องจากช่วงที่ที่ถูกคุมขังนายเสริม ถือเป็นนักโทษชั้นดี จนได้รับการอภัยโทษถึง 5 ครั้ง กระทั่งได้รับอิสรภาพในวัย 35 ปี รวมถูกจำคุกทั้งหมด 13 ปี 9 เดือน
หลายคนอาจจะไม่เชื่อเรื่องของผลแห่งกรรม และอาจจะคิดว่า นางสาวเจนจิราถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แต่แล้วทำไมอดีตหมอเสริมสาครราษฎร์จึงยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ถูกคุมขังเท่านั้น อยากให้ผู้อ่านลองพิจารณาดูอีกครั้งว่า กฎแห่งกรรม เป็นกฎเฉพาะบุคคล ไม่มีใครสามารถมารับกรรมแทนใครได้ การถูกคุมขังของหมอเสริมอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการรับผลกรรม ใครเลยจะรู้ว่า ชีวิตหลังความตายของเขาจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับนางสาวเจนจิรา ก็คงไม่มีใครล่วงรู้ว่า ชาติที่แล้วเธอเคยก่อเวรสร้างกรรมอะไรไว้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ขอให้กรรมเวรที่เคยเลวร้าย หมดสิ้นลงในชาตินี้ และพบแต่สิ่งที่ดีงามมีความสุขในชาติต่อ ๆ ไปด้วยเทอญ
ขอขอบ่คุณข้อมูล และรูปภาพประกอบจาก khlonglan.kamphaengphet
Leave a Reply