เพราะอะไร “โต ซิลลี่ฟู” ถึงได้จวก “ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค” ยับ!!!
โต อดีตนักร้องนำวงดังอย่าง “ซิลลี่ฟู” หรือเรียกอีกชื่อว่า วีรชน ศรัทธายิ่ง หรือที่รู้จักกันในนาม “โต ซิลลี่ฟูลส์” และ “โต แฮงแมน” นั้น ปัจจุบันเขาได้เข้าสู่ศาสนาอิสลามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทนไม่ไหว กับการแชร์ข่าวของ”ดี้”นิติพงษ์ ว่า “จีนจะโหดกับคนอุยกูร์ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรานี่” ลงในโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว
พร้อมกันนี้ “โต แฮงแมน” หรือ “โต ซิลลี่ฟู” ยังได้โพสต์ความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงข่าวที่แชร์ว่า
“ตาที่มันเหล่มองไม่ค่อยชัดไม่เป็นอะไร เพราะไม่กระทบใคร แต่ใจที่มันคด แยกไม่ออกระหว่างความดีความชั่ว และลิ้นที่มันเบี้ยว คอยพูดให้คนเห็นดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี คนพวกนี้ยึดคติ เอาตัวรอดเป็นยอดดี ทำตัวเป็นนกสองหัว สุดท้ายโดนทุกคนเกลียด เพราะเขารู้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว”
ส่วนที่มาของประเด็นเผ็ดร้อนของอุยกูร์ มีที่มาที่ไปอย่างไรนั้น ติดตามได้เลย
ประเทศไทยถูกใช้เป็น ทางผ่าน ของชนเผ่าหลายประเทศ ผ่านแล้วไปอยู่ ณ ประเทศที่ต้องการจะไป ก็ดีไป แต่ถ้าไปอยู่ ณ ประเทศที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการจะไป ประเทศของเราก็จะ ถูกติเตียน หรือ วิจารณ์ ไปในทางที่เสียหายอยู่ตลอด
การส่งกลับ ชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่ง กลับไปจีนแม้จะทำถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน แต่ก็กลายเป็น เรื่องบานปลาย เข้าจนได้ ข่าวมีว่าสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ของไทยที่นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี ถูกบุกทำลาย โดยผู้สนับสนุนชาวอุยกูร์ เกิดความเสียหายมากมาย เพราะไม่พอใจที่ไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน
คำถามคือ ชาวอุยกูร์ คือใคร และ ทำไม ชาวตุรกีจึงเป็นเดือดเป็นร้อนไปกับชาวอุยกูร์ด้วย ชาวอุยกูร์ อยู่ในประเทศตุรกีประมาณ 20,000 คนเท่านั้น แต่ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่อยู่ใน เขตซินเจียง-อุยกูร์ของจีน จำนวนมากถึง 20 ล้านคน ทุกคนนับถือศาสนาอิสลาม ข้อมูลจาก จุลสารความมั่นคงศึกษา ระบุว่า เขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ในจีนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซินเจียง เป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณมาตั้งแต่ เมื่อ 2,000 ปีก่อน และเป็นจุดเชื่อมจีนเข้ากับเอเชียกลาง เอเชียใต้ โดยมีความเจริญสุดขีดในยุคที่การค้าบนเส้นทางสายไหมรุนแรง
ศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้ามาผ่าน พ่อค้ามุสลิม ดินแดนแถบนี้ตกเป็นของจีนมา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวฮั่น และชาวมุสลิม อยู่กัน ด้วยสันติ แต่ต่อมา ในศตวรรษที่ 18 จีนและรัสเซีย แข่งกัน แพร่อิทธิพลในเอเชีย จีนจึงมีนโยบาย เพิ่มความเข้มข้นในการปกครองซินเจียง ราชสำนักชิง มีนโยบายต่อชาวมุสลิมที่ต่อต้านโดย ปราบปรามอย่างเฉียบขาด ทำให้ชาวมุสลิมล้มตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อ 5 ก.ค. 2552 ชาวอุยกูร์จำนวนมากออกมาประท้วงทางการจีนเพราะ ถูกจำกัดสิทธิ หลายเรื่อง มีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน บาดเจ็บกว่า 1,700 คน ล่าสุด เมื่อเดือนรอมฎอนเริ่มต้นในวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางการจีนได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อ ควบคุมชาวมุสลิม เช่น จำกัดการถือศีลอดของชาวมุสลิมในซินเจียง เช่น สั่งร้านอาหารให้เปิดบริการกลางวันเป็นปกติ เช่น ห้ามข้าราชการพลเรือน นักศึกษาและครูถือศีลอด เช่น จับกุม คุมขังผู้ที่ไม่ปฏิบัติตัวตามสิ่งที่รัฐกำหนด อาทิ จับกุมชาวอุยกูร์ที่ไม่ยอมเคารพธงชาติจีนเป็นต้น
การสวมผ้าคลุมศีรษะในที่สาธารณะ เป็นเรื่องต้องห้าม การไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ใช่ ฮาลาล จีน ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สุดโต่ง จีนไม่เห็นด้วย แม้ไทยจะส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ส่งตัวต่อไปยังตุรกี แต่ชาวมุสลิมโดยเฉพาะพวกที่อยู่ในตุรกี เป็นห่วงว่า ทางการจีนอาจลงโทษชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับไปจากไทยได้ ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ต้องการออกจากจีน เพื่อไปอาศัยอยู่ที่ประเทศ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เช่น ตุรกี ปากีสถาน และ มาเลเซีย หลายประเทศ ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน แต่ไม่มีใครต่อต้านหรือกล่าวถึง
พอไทยส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนบ้าง กลายเป็นเรื่องใหญ่ และชาวตุรกีได้แสดงอาการไม่เห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด ไทยเรา อยู่ในสภาวะ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ซวยทั้ง ๆ ที่ เป็นแค่ทางผ่าน สงสารรัฐบาลที่ไหวตัวไปด้านไหนก็ ดูจะผิดไปหมดทั้ง ๆ ที่ไม่ผิด ได้แต่ภาวนาว่าเรื่องวุ่นวายเช่นนี้จะจบลงด้วยดีในเร็ววัน”
รอติดตามชมว่า “อุยกูร์” จะดราม่าเหมือนกับ “โรฮิงญา” หรือไม่ แล้วสุดท้ายประเทศไทยจะถูกมองในประชาคมโลกแบบดราม่ารึเปล่า คงต้องติดตามชมกันต่อไป แต่ที่แน่ ๆ เราชาวไทยควรร่วมมือร่วมใจกันปกป้องประเทศไทยของเราเอาไว้ ไม่ให้ใครมารุกล้ำ และทำลาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณอนุภพ เดลินิวออนไลน์ และ ข่าวสดออนไลน์
Leave a Reply