รู้หรือไม่… ”ตู้ทิ้งเด็ก” มีใน “ญี่ปุ่น” มา 10 ปีแล้ว!!!

รู้หรือไม่… ”ตู้ทิ้งเด็ก” มีใน “ญี่ปุ่น” มา 10 ปีแล้ว!!!

ตู้ทิ้งเด็ก ญี่ปุ่น ท้องไม่พร้อม

ปัญหาท้องไม่พร้อม ไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยอย่างแน่นอนครับ ขนาดประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังมีปัญหานี้ไม่น้อยเลยทีเดียว จึงเกิดโครงการตู้ทิ้งเด็กขึ้น เมื่อ 10 ปีที่แล้วก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการที่จะสร้างตู้นี้ แต่พอผ่านมา 10 ปี ตู้นี้ได้รับการยอมรับในสังคมไปเรียบร้อยแล้ว

ตู้ทิ้งเด็ก ญี่ปุ่น ท้องไม่พร้อม_1

เมื่อปี 2550 คุณหมอไทจิ ฮะซุดะ สูตินรีแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิเค เมืองคุมะโมะโตะ ได้เริ่มโครงการ BABY POST หรือตู้รับทารกที่พ่อแม่ไม่ต้องการหรือไม่สามารถเลี้ยงดูได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หลังศึกษาโครงการคล้ายกันนี้ในต่างประเทศ เช่น ในประเทศเยอรมนี

หน้าตาของตู้ BABY POST ขเป็นตู้ที่มีบานประตูสองชั้น เมื่อเปิดบานแรกออกก็จะเจอบานเลื่อนด้านใน หลังประตูบานเลื่อนมีเตียงที่ปูฝูกอย่างดีและติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับทารก จะมีกระดาษพร้อมซองจดหมายวางไว้ให้พ่อหรือแม่ที่นำลูกไป “ทิ้ง” เขียนข้อมูลของตัวเองรวมถึงหมายเลขโทรศัพท์เผื่อว่าสักวันอาจกลับมารับลูกหรือสามารถติดต่อกับลูกได้ แต่ถ้าไม่อยากเขียน ก็ไม่ต้องเขียนก็ได้ เช่นกัน!

เมื่อมีเด็กถูกนำไปหย่อน สัญญาณเสียงในห้องพยาบาลจะดังขึ้น แล้วนางพยาบาลก็จะออกไปรับเด็ก ทางโรงพยาบาลจะดูแลเด็กจนกว่าหาครอบครัวใหม่มารับไปอุปการะต่อไปได้

ตู้ทิ้งเด็ก ญี่ปุ่น ท้องไม่พร้อม_2

ตอนเริ่มโครงการใหม่ ๆ หลายคนส่ายหน้า มองว่าโครงการนี้น่าจะเกิดแต่ผลเสียในสังคม แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในสมัยนั้น ยังบอกว่า “ไม่เห็นด้วยเลย” แต่คุณหมอฮะซุดะซึ่งเวลานี้อายุ 81 ปีก็ยังยืนหยัดความคิดของตัวเอง คุณหมอบอกว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ ทารกที่ยังไม่รู้ประสาก็เช่นกัน

คุณหมอเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยเป็นทางออกให้กับคนที่จนตรอก แทนที่จะเอาเด็กไปทิ้งถังขยะหรือห้องน้ำสาธารณะซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เด็กเสียชีวิต ก็ให้นำเด็กมาทิ้งไว้ที่ตู้นี้ดีกว่า

โครงการนี้ก็ดำเนินเรื่อยมาจนปีนี้เข้าปีที่ 10 แล้ว มีคนเอาเด็กทารกไปทิ้งที่ตู้นี้ 125 คน เกือบทั้งหมดเป็นเด็กแรกเกิดที่อายุยังไม่ครบเดือน

แน่นอนว่าโครงการนี้อาจยังไม่พร้อมในเมืองไทย แต่เชื่อในแนวคิดเดียวกับคุณหมอว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ชีวิตของตัวเอง แม้พ่อแม่จะไม่พร้อมก็ตาม

ขอขอบคุณข้อมูล และภาพจาก workpointtv