ป้าติดหนี้ 6 หมื่น สุดท้ายต้องขายบ้าน 5 ล้านใช้หนี้!!!! แบบนี้มันใช่เหรอ??
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณป้าศิริพร ปสิรภัทร ชาวสุพรรณบุรี ที่ได้เข้าร้องทุกข์กับ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือ
เริ่มต้นจากคู่กรณีมีอาชีพขายผักที่หน้าบ้านพี่สาว เขาขายดีจึงขยายแผงผักออกไปเรื่อยๆ จากนั้น จึงเริ่มมีปัญหาทะเลาะกันกับ น.ส.ต้องจิตต์ พี่สาวตน ถึงขั้นต้องจ้างทนายความไปฟ้องศาลในข้อหาหมิ่นประมาท โดยที่ฝ่ายตนไม่ทราบเรื่องมาก่อน
ต่อมาทนายคนหนึ่งมาหาที่บ้าน บอกว่า “ป้าถูกฟ้องนะ ต้องเสียเงิน 6 หมื่น จากนั้น ก็ถามว่าจะจ้างเขาไหม “ถ้าคุณยายไม่จ่ายอาจจะติดคุกนะ” ทนายคนดังกล่าวบอกกับพี่สาวตน จากนั้นก็เลยยอมจ้าง โดยเก็บเงินไป 30,000 บาท หลังจากนั้น พี่สาวตนได้ไปขึ้นศาลครั้งหนึ่ง แล้วก็นำใบอะไรไม่ทราบมาให้จากนั้นเขาก็เรียกเงินอีก 5,000 บาทเป็นค่าน้ำมันรถ พี่สาวตนก็เลยตัดสินใจยกเลิก “ไม่เอาแล้ว…เสียเงินทุกเที่ยวเลย”
“ต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นใหม่ ลูกสาวคู่กรณีได้เข้ามาทำร้ายพี่สาวตน โดยใส่แหวนต่อยเข้าไปที่ดวงตาจนตอนนี้พี่สาวตนบอด ต้องนอนอยู่ รพ.นาน 4 เดือน ซึ่งต่อมาศาลตัดสินจำคุกลูกสาวคู่กรณีจำคุกนาน 2 ปี แต่รอลงอาญา ทางเทศบาลก็แนะนำว่าสามารถฟ้องแพ่งได้ เพราะใช้เงินรักษาไป 700,000 – 800,000 บาท แต่ก็ไม่ได้ฟ้อง เนื่องจากคู่กรณีได้มีการมาเจรจากัน บอกว่าหากเราไม่ฟ้องแพ่ง “ขอให้ทุกอย่างจบ เงิน 60,000 บาท ที่ว่าก็จะจบกันไป” ซึ่งตรงนี้มีการพูดคุยกันปากเปล่า” นางศิริพร กล่าว
แม้จะตกลงกัน แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่ทำตามที่พูดคุย แล้วเรื่องก็มาถึงกรมบังคับคดี ที่จะต้องบังคับให้ขายบ้านเพื่อจ่ายเงินค่าปรับ 60,000 บาท รวมดอกเบี้ยเป็นเงินแสนกว่าบาท ทั้งนี้ตั้งแต่ถูกบังคับคดี พี่สาวตน ได้ไปที่ศาลเพียงครั้งเดียว และไปแบบชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง
“ต่อมา ได้มีทนายอีกคนหนึ่ง (คนเดิมเสียชีวิตไปแล้ว) นายเอ (นามสมมติ) มาปลอมลายเซ็นพี่สาวตน แล้วไปขึ้นศาล แล้วไปบอกศาลว่าพี่สาวตนจะไม่จ่ายเงิน 60,000 บาท โดยอ้างว่าโทรศัพท์ไปถามแล้ว ทั้งที่พี่สาวตนไม่มีโทรศัพท์ เพราะเป็นคนแก่อายุ 70-80 ปีแล้ว ศาลจึงสั่งให้ยึดทรัพย์บังคับคดี จากนั้นอีกฝ่ายก็เสนอให้ยึดบ้านเลขที่ 17 ซึ่งบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของพี่สาวตน แต่บ้านหลังนี้เป็นของตน เพราะซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2545 แต่ก็ให้พี่สาวอยู่ และตนได้แต่งงานไปอยู่ที่ จ.ภูเก็ต”
นางศิริพร เล่าต่อว่า ตนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม หมายของบังคับคดีไปติดบ้านเลขที่ 53 ซึ่งเป็นบ้านญาติพี่น้องกันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีความ ซึ่งเป็นบ้านร้าง เหมือนกระต๊อบ ที่ไม่มีคนอยู่ ซึ่งตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้ได้อย่างไรว่ามีที่ดินตรงนั้น
หลังจากถูกบังคับคดี แค่เปิดขายวันแรก ก็มีคนมาซื้อทันที จากราคา 5 ล้านกว่า ถูกซื้อไปราคาเพียง 5.8 แสนบาท ซึ่งเงินดังกล่าวยังอยู่ที่กรมบังคับคดี น.ส.ต้องจิตต์ มารับเงินดังกล่าวไม่ได้ เนื่องจากบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของ น.ส.ต้องจิตต์ แต่กลับมายึดของคนอื่นไปขายได้ยังไง ยังงงอยู่? เรามีสัญญาซื้อขายที่ดิน พอเดินทางมาจากภูเก็ตถึงสำนักงาานที่ดินประมาณบ่าย 2 สำนักงานที่ดินก็อ้างว่าเลิกงานแล้ว เพราะการโอนต้องใช้เงินด้วย เขาบอกว่าเขาส่งเงินไปแล้ว ต้องส่งเงินก่อน 3 โมง ซึ่งสาเหตุที่ถูกบังคับขายเพราะชื่อยังเป็นของ น.ส.ต้องจิตต์ อยู่
“ที่ผ่านมา พี่สาวตนเคยถูกคนเข้ามาทำร้ายถึงในบ้าน โดยเป็นชาย 3 คน เข้ามาทำร้ายถึงในบ้าน ส่วนตนเองก็รู้สึกเครียดมาก อยากได้บ้านของเราคืน จึงเดินสายไปร้องกับ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จากนั้น ท่านก็เลยแนะนำให้มาร้องให้บรรเทาทุกข์ที่บังคับคดี ที่ จ.สุพรรณบุรีก่อน เพราะเขามาติดป้ายไล่ให้ออกจากบ้าน ภายใน 7 วัน”
คดีค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้เวลาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี ได้กล่าวถึงคดีนี้ว่า ตอนนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน จึงประสานไปยังกรมบังคับคดี ว่าอย่าเพิ่งบังคับคดีนี้ ทั้งนี้ บางกรณีถึงขนาดเจ้าของบ้านขายบ้านไปแล้ว แต่ปรากฏว่านำหมายไปติดว่าจะยึดเขา โดยบอกว่านำหมายไปติดหน้าบ้าน แต่เมื่อไปตรวจสอบกลับกลายเป็นไร่อ้อย จากนั้นมาอ้างทีหลังว่ามาติดที่ต้นอ้อย ซึ่งเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ด้าน นายอินทราวุธ สมมาตร ผู้อำนวยการศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตอนนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ยังรีบร้อนไม่ได้ เนื่องจากเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน กำลังตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเสียก่อน
หวังว่าคดีนี้จะไม่เงียบหายไปในป่าดง และป้าๆ รวมถึงทุกคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม จะได้รับความยุติธรรมเสียที!!! รอผลพิสูจน์ให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปด้วยความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินครับ
กลัวจริงๆ ว่าเรื่องนี้อาจเงียบหายไป…
ขอขอบคุณข้อมูล และเครดิตภาพจาก ไทยรัฐ
Leave a Reply