Category: ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ
-
เผยแฟ้มคดีหฤโหด!!! “ซีอุย แซ่อึ้ง” ปีศาจในคราบฆาตกรกินคน
เผยแฟ้มคดีหฤโหด!!! “ซีอุย แซ่อึ้ง” ปีศาจในคราบฆาตกรกินคน ทุกครั้งที่เขาเดินทาง ศพแล้วศพเล่า ทั้งข่มขื่น ทั้งฆ่า และผ่าศพเพื่อควักเอา อวัยวะภายในของเหยื่อออกมากิน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อาชญากรอัจฉริยะ แต่เขาก็สามารถสังหารเหยื่อถึง 6 ศพ ที่ปรากฏในแฟ้มคดี ไม่นับอีกหลายศพที่ซีอุยไม่ได้กล่าวถึง และเขาอยู่รอด ลอยนวลกว่า 5 ปี… เพราะอะไรเล่าที่ทำให้เขากลายเป็นปีศาจฆาตกรกินคนที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ กำเนิดปีศาจ ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2470 ในซัวเถา เด็กชายคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลกขึ้น เขาเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง12 ของนายฮุนฮ้อ กับ นางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง พวกเขาได้ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า นายหลีอุย แช่อึ้ง แต่พวกเราชาวสยามต่างรู้จักนามว่า “ซีอุย” ทั้งสองมีอาชีพทำไร่มีฐานะ มีค่อนข้างยากจน และมีลูกมาก ซีอุยจึงขาดการดูแลจากพ่อแม่ ชั่วชีวิตของเขา เขาดำเนินชีวิตตามความพอของตนเองเป็นที่ตั้ง ออกจากบ้านไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ เขาเกิดมาเป็นคนตัวเล็กเมื่อเปรียบเทียบเด็กวัยเดียวกัน (แม้เขาจะโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีความสูงแค่ 150 เซนติเมตร)…
-
คืบหน้าซะที! ตร.คุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัย ยิง “เสี่ยสมยศ” คาเฟ่ สอบปากคำแล้ว
คืบหน้าซะที! ตร.คุมตัว 2 ผู้ต้องสงสัย ยิง “เสี่ยสมยศ” คาเฟ่ สอบปากคำแล้ว ตำรวจเผยเผยคุมตัว2ผู้ต้องสงสัยยิง “เสี่ยสมยศ” อดีตเจ้าเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ มาสอบสวนแล้ว ระบุพยานยันคล้ายผู้ก่อเหตุ เตรียมพิสูจน์ลายนิ้วมือและดีเอ็นเอกับลายนิ้วมือแฝงที่ได้จากรถจักรยานยนต์ เมื่อวานนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์ คนร้ายจ่อยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ เสียชีวิตบริเวณหลังร้านเฮงหูฉลาม ถนนพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง ของคืนวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิงนายสมยศ มาสอบสวนแล้ว 2 ราย โดยตำรวจกองปราบปรามควบคุมตัวได้จากซุ้มมือปืนจังหวัดชุมพรเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา และได้ให้พยานที่เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุมาชี้ตัว ซึ่งทางพยานระบุว่าผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายมีความคล้ายคลึงกับผู้ที่ก่อเหตุเป็นอย่างมาก” “หลังจากนี้จะนำลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 รายไปเปรียบเทียบกับผลตรวจดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงจากรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซุกิ รุ่นสแมช สีดำ-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ที่ยึดมาได้จากซอยรามคำแหง 24 แยก…
-
คดีเกาะเต่า ตำรวจไทยให้การสับสน! งงมีหลักฐานอะไรบ้าง อ้างDNAใช้หมดแล้ว
คดีเกาะเต่า ตำรวจไทยให้การสับสน! งงมีหลักฐานอะไรบ้าง อ้างDNAใช้หมดแล้ว กลายเป็นคดี “ไทยแลนด์ออลี่” ไปแล้ว กับคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า ภายหลังถูกวิพากวิจารย์ทั้งทางปากต่อปาก และในโลกโซเชียลว่า เป็นคดีจับแพะ ที่น่าขายหน้าไปไกลถึงประเทศอังกฤษ และทั่วโลก จากรายงานของเดอะเทเลกราฟ เมื่อวานนี้ (8 กรกฎาคม) ศาลได้เริ่มการสืบพยานในคดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวสหราชอาณาจักร ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ วัย 23 ปี และเดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ปี ซึ่งเกิดขึ้นบนเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อเดือนกันยายน ปีที่แล้ว โดยมีจำเลยเป็น 2 แรงงานอพยพชาวเมียนมาร์ ที่ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาของพนักงานอัยการ วันนี้ซึ่งเป็นการพิจารณาคดีในวันที่สองก็เกิดปัญหาติดขัดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดสับสนไม่รู้ว่าทางสำนักงานมีวัตถุพยานอะไรในครอบครองบ้าง พ.ต.ท.สมศักดิ์ หนูรอดพนักงานสอบสวนกล่าวว่าเขาต้องเดินทางกลับไปยังเกาะเต่าอีกครั้งเพื่อดูว่าตำรวจมีวัตถุพยานอะไรบ้างพนักงานอัยการจึงต้องขอให้ผู้พิพากษาระงับการสืบพยานไว้ก่อน หลักฐานสำคัญที่ถูกนำมาใช้ปรักปรำจำเลยชาวเมียนมาทั้งสองรายคือดีเอ็นเอที่ถูกพบบนบุหรี่และถุงยางอนามัยที่ถูกพบใกล้กลับจุดเกิดเหตุรวมทั้งดีเอ็นเอบนร่างเหยื่อผู้เสียชีวิตที่ถูกนำมาใช้เทียบเคียง อย่างไรก็ดีเอเอฟพีรายงานว่าพ.ต.ท.สมศักดิ์ ได้กล่าวกับทีมทนายจำเลยนอกห้องพิจารณาคดีว่า “ดีเอ็นเอ บนบุหรี่มันหมดแล้ว” “ตัวอย่างดีเอ็นเอที่เก็บจากร่างผู้เสียชีวิตไม่ได้อยู่ในหน้าที่ผม ตอนนี้มันอยู่ที่กรุงเทพฯ” ทีมทนายจำเลยกล่าวกับเอเอฟพีว่า ศาลจะมีคำสั่งในวันศุกร์นี้ว่า จะอนุญาตให้ทำการตรวจสอบตัวอย่างดีเอ็นเอซึ่งถูกเก็บไว้ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ในกรุงเทพฯหรือไม่ “หากพวกเขาบอกว่ามันไม่มีแล้ว,ก็คือไม่มีบางทีผู้เชี่ยวชาญ(ด้านการพิสูจน์หลักฐาน)ของเราต้องต่อสู้ว่าหลักฐานดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ยันกับจำเลยไม่ได้หรือไม่ ตรงนี้ผมยังไม่รู้” นายนคร ชมพูชาติ หัวหน้าทนายฝ่ายจำเลยกล่าว…
-
ตำรวจเค้นสอบ “ก้อย” ปมหนี้ 28 ล้าน คดี “เสี่ยสมยศ” อุจฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ!!!
ตำรวจเค้นสอบ “ก้อย” ปมหนี้ 28 ล้าน คดี “เสี่ยสมยศ” อุจฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ!!! กลายเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญเป็นที่สนใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ กับคดียิง “เสี่ยสมยศ” ที่มีปมฆาตกรรมซับซ้อนหลายคดี ทั้งคดีหนี้ร่วม 28 ล้านจากการโกงของคนสนิท รวมทั้งอาจมีปมของคาเฟ่ และปมของผู้ได้รับกองมรดกร่วมอยู่ด้วย ความคืบหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้เลยค่ะ เมื่อคืนวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายสมยศ สุธางค์กูร ทนายความและอดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ชื่อดัง “พระราม 9 คาเฟ่” ถูกคนร้ายบุกกระหน่ำยิงด้วยอาวุธปืนลูกโม่ ไม่ทราบขนาดจำนวน 4 นัด กระสุนเข้าที่กลางศีรษะ โหนกแก้มขวา หัวไหล่ซ้าย และกลางหลัง เสียชีวิตภายในลานจอดรถร้านเฮงหูฉลาม ขณะกำลังจะขับรถเบนซ์หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับภรรยา ปิดตำนานเจ้าพ่อคาเฟ่ผู้โด่งดังเมืองไทย ตำรวจตัดสินใจเค้นสาวก้อย คนสนิทเสี่ยสมยศ เพื่อคลี่สาเหตุการตาย โดยเจ้าตัวรับว่า ยักยอกเงินวิ่งเต้นคดีความของสำนักงานทนายความไป 11 ล้านจริง รวมกับเงินโกงพนันไพ่เก้าเกอีก 3 ล้าน รวมเป็น 14 ล้าน โดยมี…
-
ปิดตำนานสงคราม “คาเฟ่” จาก “เฮียเลี้ยง” ถึง “เสี่ยสมยศ”
ปิดตำนานสงคราม “คาเฟ่” จาก “เฮียเลี้ยง” ถึง “เสี่ยสมยศ” ในอดีต “คาเฟ่” คือ เวทีแจ้งเกิดของตลกและนักร้อง สร้างชื่อเสียงและรายได้ ในสมัยนั้นประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มี 2 คาเฟ่ใหญ่ คือ วิลล่า คาเฟ่ และ พระราม 9 คาเฟ่ ปี 2541 เฮียเลี้ยง-บุญเลี้ยง อดุลยฤทธิกุล เจ้าพ่อคาเฟ่เมืองไทย เจ้าของดาราคาเฟ่และวิลล่าคาเฟ่ ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งสังคมรวมถึงตำรวจในสมัยนั้น ได้ตั้งปมสงสัยว่าการตายของเฮียเลี้ยง อาจเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในธุรกิจคาเฟ่ ในชื่อของ “สมยศ สุธางค์กูร” จึงอยู่ในข่ายต้องสงสัยของทั้งตำรวจและสังคม แต่ต่อมาคดีเป็นที่สิ้นสุด และคลายปมฆาตกรรมตรงที่ “เฮียเลี้ยง” เสียชีวิตจากการถูกชิงทรัพย์ ระหว่างจะขึ้นลิฟท์ไปหาภรรยาน้อย หลังจากเฮียเลี้ยงเสียชีวิต วิลล่า คาเฟ่ก็ปิดกิจการ ทำให้เวทีและพื้นที่ของบรรดาตลกเหลือเพียงพระราม 9 คาเฟ่ของเสี่ยสมยศ สุธางค์กูร และ พระราม 9 คาเฟ่นั้น ซึ่งสมัยนั้นเป็นช่องทางที่มีอำนาจต่อพวกคณะตลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นคาเฟ่ชื่อดังที่สุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ เมื่อปี…
-
ย้อนรอยคดีพระยันตระ! กับเหตุผลที่ต้องจับสึก
ย้อนรอยคดีพระยันตระ! กับเหตุผลที่ต้องจับสึก ย้อนรอยคดีดัง คดีพระยันตระ พระที่ได้ชื่อว่ารูปงาม และมีคดีอื้อฉาวที่สุด ยันตระ อมโรภิกขุ หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระรูปงามจากวัดสุญตารามกาญจนบุรี ด้วยเทคนิคการเทศน์ที่มีเนื้อหาดี และไพเราะ จึงทำให้มีชื่อเสียงดังไกล ตั้งแต่ลูกศิษย์ลูหาชาวไทยไปจนถึงต่างแดน ภายหลังถูกจับปาราชิก เพราะมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศ กับสตรีใกล้ชิดหลายคน ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ เมื่อถูกสื่อมวลชนสอบถาม ยันตระก็ให้คำบ่ายเบี่ยง จนถูกสื่อมวลชนในสมัยนั้น (พ.ศ. 2537) ตั้งสมญาให้ว่า “จิ้งเขียว” “สมียันดะ” และ “ยันดะ” ยันตระเปลื้องจีวรออกหันไปนุ่งเขียวห่มเขียวและหลบออกนอก ประเทศไปสหรัฐอเมริกาจนถึงบัดนี้ก็ไม่ได้รับผิดข้อกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น เหตุการณ์เป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=m_7KOS5kwbc ท่ามกลางความเชื่อ และไม่เชื่อ ของคนไทยในขณะนั้น จวบจนปัจจุบันยันตระก็ยังคงมีชีวิตอยู่ และมีลูกศิษย์ลูกหาคอยติดตามเช่นเดิม เพราะเชื่อว่าข่าวดังกล่าวเป็นแค่คำครหา ดังคลิปนี้ ท้ายสุดต้องกล่าวด้วยพุทธสุภาษิตบทที่ว่า “กัมมุนา วัตติโลโก แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”